แนวทางกอบกู้เครื่องจักร CNC ในเหตุอุทกภัย

อุทกภัย

หลังจากประเทศไทยเจอฤทธิ์ของพายุ “เตี้ยนหมู่” ทำให้เกิดเหตุอุทกภัยขึ้นในหลายจังหวะ แถมคราวนี้ยังหนักข้อจนถึงขั้นที่ว่า “ภาพหลอน” ของมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ฉายขึ้นในหัวหลายต่อหลายคน ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาที่เราจะพูดถึงในวันนี้ โรงกลึงพีวัฒน์ขอร่วมแสดงความเสียใจและเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยกับเหตุการณ์ดังกล่าวมา ณ ที่นี่ด้วย

ถึงตอนนี้มีหลายจังหวัดที่โดนเหตุน้ำท่วมเล่นงานแบบหนักหน่วง ส่วนในรายของพื้นที่ที่มีนิคมอุตสาหกรรมอยู่จำนวนไม่น้อย อย่างอยุทธยา ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมได้มีการเตรียมแผนสำรองฉุกเฉินเอาไว้ สำหรับ 3 จุดเสี่ยงใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นอย่างมาก ประกอบด้วย “บางหว้า-นครหลวง-บางปะอิน” โดยผู้เกี่ยวข้องมั่นใจว่ากำแพงกั้นน้ำความสูง 5-7 เมตร ที่สร้างเอาไว้จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดในเร็ว ๆ นี้ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า “ฮอนด้า” ที่เคยโดนเหตุลักษณะนี้เล่นงานสุดอ่วม ได้จัดตั้งมอนิเตอร์ด้วยทีมเฉพาะกิจวัดระดับน้ำกันวันต่อวันเลยทีเดียว

รู้หรือไม่.. หากจัดการทันท่วงที ลดความเสียหายของอุปกรณ์ CNC จากเหตุ “น้ำท่วม” ได้?

หากอุปกรณ์ CNC รวมถึงเครื่องจักรต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยหรือการถูกน้ำท่วม และได้รับการจัดการอย่างถูกต้องอย่างทันท่วงที ก็จะสามารถกู้คืน ลดความเสียหายได้ไม่มากก็น้อย บางอย่างก็เป็นขั้นตอนปฏิบัติพื้นฐานที่ถูกละเลย ซึ่งเนื้อหาต่อไปนี้เป็นวิธีการบางส่วนเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสมของผู้เชี่ยวชาญที่เคยได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ปัจจุบันตลอดจนอนาคต หากศึกษาไว้รับรองได้เลยว่าเป็นประโยชน์แน่นอน

คำแนะนำการกู้คืนอุปกรณ์ CNC หลังน้ำท่วมลดลง

ก่อนอื่นเลย กรณีที่ถูกน้ำท่วมไปแล้วเรียบร้อย ไม่ควรเปิดอุปกรณ์เผื่อให้น้ำระบายทันที การปล่อยให้น้ำท่วมขังนั้นเป็นการดีกว่า จากนั้นจะมีลำดับขั้นตอนต่อไปนี้

  • ถอดแบตเตอรี่และสายเคเบิล
  • ล้างเครื่อง
  • ทำให้เครื่องแห้ง
  • ตรวจสอบความต้านทานของฉนวน
  • ตรวจสอบการทำงาน (จำเป็นต้องดำเนินการโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ)

ถอดแบตเตอรี่และสายเคเบิล

ทำการถอดสายแบตเตอรี่ออกจากเครื่องและ PCB (แผงวงจร) ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบตเตอรี่ที่ถูกน้ำท่วมอาจทำให้วงจร PCB เสียหายจากสนิม อาจส่งผลร้ายแรงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ภายหลัง แม้ว่าการถอดแบตเตอรี่จะทำให้ข้อมูล CNC สูญหาย แต่อย่างแรกที่ต้องคำนึงคือการปกป้องฮาร์ดแวร์ที่จะทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้างมากกว่า

คำแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อยก่อนปฏิบัตข้อนี้ ควรจะติดแท็กหรือทำเครื่องหมายเอาไว้สักหน่อย เพื่อที่ว่าตอนประกอบคืนจะได้รวดเร็วและถูกต้องเหมือนเดิม

ล้างเครื่อง

ข้อนี้จำเป็นต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุด ความเสียหายจะเพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ สามารถทำตามคำแนะนำขั้นตอนด้านล่าง ดังนี้

  1. เครื่อง – น้ำที่ท่วมนั้นมักจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อน รวมถึงคราบน้ำมันต่าง ๆ แนะนำให้ใช้ผงซักฟอกที่หาได้ทั่วไป เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างอเนกประสงค์ ผสมกับน้ำสะอาดแล้วใช้แปรงไนลอนขัด (ไม่ควรใช้แปรงลวด) ทำความสะอาดส่วนนี้ให้ได้มากที่สุด ส่วนตามซอกเล็ก ๆ ของเครื่องใช้แปรงสีฟันได้ และควรใส่ใจกับพวกข้อต่อซ็อกเก็ตต่าง ๆ
  2. รีเลย์ – หากรีเลย์มีน้ำอยู่ภายใน ให้เปิดเคสออกมาแล้วทำความสะอาด ถ้าเปิดเคสไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนสถานเดียว
  3. หม้อแปลงไฟฟ้า – ภายในขดลวดหม้อแปลงเป็นนั้นไม่สามารถทำความสะอาดได้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตัวหม้อแปลงด้านนอกและขั้วไฟฟ้าควรเน้นในส่วนนั้นให้มากที่สุด
  4. สายเคเบิล – ตัวเชื่อมต่อของเฮาส์ซิ่งมักจะมีน้ำท่วมขัง ควรถอดขั้วต่อออกเพื่อระบายให้หมด จากนั้นทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง
  5. Servo Motor และ Spindle Motor – ในส่วนนี้ควรให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจัดการในส่วนของการถอดประกอบและทำความสะอาด สิ่งที่คุณทำได้คือหากเห็นน้ำเข้าไปในฝาครอบของมอเตอร์ สามารถเปิดฝาเพื่อปล่อยน้ำออก ทำความสะอาดรอบ ๆ เช็ดให้แห้งก่อนปิดไว้ตามเดิม
  6. Motor Drive – ใช้วิธีเปิดน้ำไหลผ่านเพื่อทำความสะอาดในจุดนี้ ไม่ควรจุ่มตัวเครื่องเอาไว้ในน้ำระหว่างทำความสะอาดเด็ดขาด

ทำให้เครื่องแห้ง

เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ๆ หากใครที่คลุกคลีอยู่กับอุปกรณ์ใด ๆ ก็ตามที่มีแผงวงจร การจะเปิดใช้งานนั้นจำเป็นต้อง “แห้งสนิท” เท่านั้น 

ซึ่งการปล่อยให้เครื่องแห้งเองด้วยอุณหภูมิห้องจะใช้เวลานานมาก รวมถึงเรื่องความชื้นต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ความร้อนสูงในการระเหยภายในหม้อแปลงไฟฟ้า “เครื่องอบแห้ง” จะเป็นคีย์แมนสำหรับขั้นตอนนี้หากคุณใช้ความร้อนที่สูงเพียงพอ กล่าวคือจำเป็นต้องรู้และควบคุมอุณหภูมิได้อยู่เสมอ หากมีเครื่องอบแห้งแบบ “สุญญากาศ” จะมีประโยชน์มากเลยทีเดียว ส่วนชิ้นส่วนไหนควรใช้อุณหภูมิเท่าไหร่เป็นสิ่งที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งก่อนดำเนินการ

กรณีที่ไม่มีเครื่องอบแห้ง สามารถใช้เครื่องเป่าต่าง ๆ ทดแทนได้เช่นกัน อาจกินเวลาเป็นจำนวนวันหรือหลายวัน แต่สามารถทำให้แห้งสนิทได้เช่นกัน

ตรวจสอบความต้านทานของฉนวน

อุปกรณ์สามารถพังได้ทันทีหากละเลยขั้นตอนนี้ ก่อนที่จะติดตั้งเครื่อง ก่อนจะมีการจ่ายไฟ ข้อควรปฏิบัตินี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยคุณสามารถเช็คค่าต่าง ๆ ก่อนวัดความต้านทานของแต่ละส่วนที่ต้องมีการจ่ายไฟจากผู้จำหน่ายหรือช่างผู้ชำนาญการเครื่องเหล่านี้

ตรวจสอบการทำงาน

ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ และช่างผู้เกี่ยวข้องการเครื่องจักรเหล่านี้โดยตรงในการทำงานร่วมกัน เนื่องจากอาจมีการซ่อมซอมปรับแต่งด้วย

หากความต้านทานของฉนวนที่วัดในข้อก่อนหน้านี้เพียงพอก็สามารถติดตั้งเครื่อง ยืนยันการเชื่อต่อสายเคเบิลและเดินสายทั้งหมดได้ จากนั้นจ่ายไฟเพื่อยืนยันการทำงาน ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องมีความระมัดระวังอย่างสูง เพราหากมีความชื้นอยู่อาจเกิดการลัดวงจร สิ่งที่ต้องสังเกตให้ดีคือควันทั้งหลาย รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นให้ตัดไฟทันที

จากการแนะนำในแต่ละขั้นตอนนั้นจะเห็นว่าเราพูดถึงการมี “วิศวกรผู้ชำนาญการ” อยู่เสมอ ซึ่งจริง ๆ แล้วหากจะเริ่มดำเนินการกู้คืนอุปกรณ์ CNC จากปัญหาอุทกภัยแล้วละก็ แนะนำอย่างยิ่งเลยว่าควรจะมีบุคลากรเหล่านี้ประจำไซต์งานก่อนลงมือในทุกกระบวนการ เพื่อที่ว่าเครื่องจักรของคุณจะสามารถกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยได้มากที่สุดนั่นเอง

กรณีศึกษา “เหตุน้ำท่วม” เตรียมการรับมืออย่างเหมาะสม ลดความเสียหายของอุปกรณ์ CNC ได้จริง?

สำหรับพื้นที่ไหนที่โดนอุทกภัยหนนี้เล่นงานแบบไม่ทันตั้งตัว มวลน้ำมหาศาลจากพายุเตี้ยนหมู่ช่วง 24-26 กันยายนที่ผ่านมาเข้าเยี่ยมเยือนโรงงานอุตสาหกรรมของคุณเป็นที่เรียบร้อย คุณสามารถใช้เนื้อหาวันนี้เพื่อเตรียมตัวสำหรับการ “กอบกู้” บรรดา “ อุปกรณ์ CNC” เบื้องต้น หลังจากเหตุการณ์นี้เบาบางลด น้ำลดระดับอยู่ในจุดที่คุณสามารถดำเนินการได้ เป็นกรณีศึกษาโดยตรงจากรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งเมื่อโดนพายุเฮอริเคน “เฮอร์วีย์” และ “เออร์มา” กระหน่ำเข้าใส่เป็นบ่อเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ จนเกิดเป็นแนวทางการกู้คืนอุปกรณ์เครื่องจักร CNC ที่เราได้นำแนวทางมาแบ่งปันผ่านเนื้อหาในวันนี้

ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ : https://absolutemachine.com/replace-or-recover-your-cnc-equipment-after-flooding/

CNC เครื่องจักรอัจฉริยะ ผู้เนรมิต เคส หรือ คีย์แคป ให้ Mechanical Keyboard

คีย์แคป

หากพูดเรื่อง “คีย์บอร์ด” .. ณ เวลานี้เชื่อว่าหลายต่อหลายคนน่าจะได้ยินชื่อของ “แมคคานิคอล คีย์บอร์ด” (Mechanical Keyboard) กันมากขึ้นกว่าเดิมมากมายหลายเท่า จากอุปกรณ์ที่ถือเป็นของ “เฉพาะกลุ่ม” ซึ่งก็เริ่มได้รับความนิยมมเรื่อย ๆ ตามความต้องการของบรรดาผู้ใช้งานที่อยากจะเพิ่มสุนทรียภาพในการทำงาน หรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่มีคีย์บอร์ดเป็นตัวเชื่อม 

ซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่นั้นถ้าจะบอกว่าเกิดขึ้นจากกลุ่มเฟซบุค “จัดโต๊ะคอม” การกล่าวอ้างเช่นนี้เห็นทีจะไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยแต่อย่างใด เพราะใครที่สิงสถิตย์อยู่ในกลุ่มนั้น ส่วนใหญ่แล้วล้วนมี แมคคานิคอล คีย์บอร์ด เป็นไอเทมหลักฃองส่วนประกอบทั้งหมดบนโต๊ะทำงาน ตั้งเด่นเป็นสง่าน่าหลงไหล ทำเอาหลายคนที่อาจจะไม่เคยใช้ รู้จักแต่ไม่เคยได้เห็นจริง ๆ เกิดกิเลสอยากหามาลองบ้างเต็มไปหมด

ส่วนอะไรที่ทำให้ แมคคานิคอล คีย์บอร์ด นั้นกลายเป็นของสุดฮิตในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา… อ่ะ?!.. แต่พอเริ่มอ่านมาเรื่อย ๆ น่าจะมีหลายคนเหมือนกันที่เริ่มเอะใจแล้วว่า “มันเกี่ยวอะไรกับสาระอุตสาหกรรม???” 

ยังจำเรื่องของ CNC Machining Center กันได้รึเปล่า.. หากใครไม่อยากย้อนกลับไปอ่าน นิยามสั้น ๆ คือ CNC คือเครื่องจักรจอมทัพแห่งอุตสาหกรรมการผลิต และการสร้างส่วนประกอบของ แมคคานิคอล คีย์บอร์ด นั้นก็มีการใช้เครื่อง CNC ในการเนรมิตขึ้นมา เอาที่เด่น ๆ สองส่วนหลักที่บอกไปแล้วต้องอ๋อแน่นอน นั่นก็คือ “เคส” กับ “คีย์แคป” นั่นเอง

คีย์แคบ cnc

แมคคานิคอล คีย์บอร์ด หลัก ๆ มีแบบไหนบ้าง?

แมคคานิคอล คีย์บอร์ด แบ่งออกเป็นแบบหลักได้ 3 แบบด้วยกัน อย่างแรกจะเป็นแบบสำเร็จรูปมาแล้วแต่สามารถนำไปปรับทำเพิ่มเองได้ โดยในภาษาของกลุ่มจะเรียกว่า “ม็อด” (Mod) อาทิ Keychron, Iquinox, Royal Kludge, Anne Pro และ Leopold

ส่วนอีกแบบที่เรียกว่า “คัสตอม” (Custom) จะเป็นการบิวท์ขึ้นเองทั้งหมด หมายความว่าคุณสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์ทุกชิ้นเพื่อสร้างขึ้นมาให้เป็นคีย์บอร์ดในสไตล์คุณ ซึ่งในแบบหลังนี้ก็อาจจะใช้เวลาศึกษาพอสมควรหากต้องการทำด้วยตัวเอง รายละเอียดของแบบนี้นั้นมีเยอะมากจริง ๆ หากเป็นผู้เริ่มเล่นส่วนตัวไม่ค่อยแนะนำสักเท่าไหร่

แบบสุดท้ายก็ยังอยู่ในหมวดคัสตอมเช่นกัน แต่จะเป็นการคัสตอม “โดยผู้ผลิต” ซึ่งในแดนสนธยานี้จะเรียกว่าเป็นการซื้อแบบ GB (Group Buy) แต่ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้นมันก็คือการพรีออเดอร์นั่นแหละ

ความเจ๋งของการซื้อคีย์บอร์ดคัสตอมแบบ GB คือทางผู้ผลิตจะมีการทำ Intersets Check (IC) ก่อนเพื่อดูผลตอบรับว่าสิ่งที่เค้าได้ดีไซน์ออกมานั้นมีคนให้ความสนใจมากน้อยเพียงใด และหากมีความต้องการเพียงพอ ก็จะต้องมีการรวบรวมเงินเพื่อผลิตออกมา โดยระยะเวลาจะอยู่ในช่วง 3-12 เดือน แล้วแต่แบรนด์ ฟังดูต้องรอนานกันเลยทีเดียว แต่เพื่อแลกกับการเป็นเจ้าของคีย์บอร์ดที่เพียงหลักร้อยบนโลกใบนี้ มันก็ดูน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ..

ก่อนจะมาเป็น แมคคานิคอล คีย์บอร์ด ต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?

เคส คีย์บอร์ด (Keyboard Case)

ง่าย ๆ ตรงตัวเลย เป็นส่วนประกอบที่เป็นหน้าตาแถมยังส่งผลสำคัญต่อเสียงโดยตรง วัสดุที่นำมาใช้มีให้เลือกหลากหลาย ทั้ง สแตนเลส, อะครีลิค, โพลี-คาร์บอเนต, ทองเหลือง และ อลูมิเนียม ซึ่งแบบหลังได้รับความนิยมมากสุด

แผงวงจร (PCB)

หัวใจของคีย์บอร์ด ขึ้นชื่อว่าเป็นแผงวงจรแล้วหน้าที่ของเขาก็คือควบคุมทุกอย่าง ปัจจุบันนั้นควบคุมโดยโปรแกรม QMK ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับตั้งค่าคีย์บอร์ดแบบ Open Source ที่รองรับฟังก์ชันและมีความหลากหลายที่สุดตอนนี้

เพลท (Plate)

เป็นตัวเชื่อมระหว่าง “เคส” และ “แผงวงจร” ใช้สำหรับยึดทั้งสองสิ่งที่ว่า รวมถึงความสามารถในการจับสวิตช์ให้ตรงตามช่องอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมดตามแถว ส่วนวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาใช้มีให้เลือกหลากหลายคล้ายกับเคส

สแตบ (Stabilizers)

เป็นตัวประคองปุ่มที่ยาวตั้งแต่ 2U ขึ้นไป เช่น Spacebar, Backspace, Shift และ Enter หน้าที่ของ สแตบ จะช่วยให้เวลาเรากดคีย์บอร์ดแล้วจะลงไปพร้อมกันทั้งหมด ไม่เอียงไม่ข้างใดข้างหนึ่ง

สวิตช์ (Switch)

อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสัมผัสฟีลลิงต่าง ๆ ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงต้านต่าง ๆ ในวงการจะแบ่งออกเป็น 3 แบบหลัก ได้แก่ Clicky, Tactile และ Linear ซึ่งแต่ละแบบนั้นมีคาแรคเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งหมด

คีย์แคป (Keycap)

หากมีเคสเป็นกรอบแล้ว “คีย์แคป” เสมือนหน้าตาของคีย์บอร์ดคุณเลยล่ะ จะหล่อไม่หล่อ ชอบไม่ชอบ สวยไม่สวย ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้พอสมควร นอกจากจะเป็นเรื่องของดีไซน์ความสวยงามแล้ว ยังมีหลายแบบหลายทรงให้เลือกอีกด้วย

คีย์แคบ cnc

จริง ๆ แล้วยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่เป็นตัวช่วยเสริมอีกเพียบเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการใช้งานก็ดี ความสวยงามก็ดี แต่ทั้งหมดที่ได้กล่าวไปนับเป็นส่วนประกอบหลักที่เพียงพอแล้วต่อการบิวท์คีย์บอร์ด หากต้องการไปลึกกว่านี้บอกเลยว่าถอนตัวยากแน่นอน

แมคคานิคอล คีย์บอร์ด กับ CNC Machining บนอุตสาหกรรมการผลิต

จากที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าคีย์บอร์ดนั้นแบ่งแยกเป็น 3 แบบหลัก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตามแต่หากต้องการสร้างอุปกรณ์ของคีย์บอร์ด เครื่อง CNC Machining Center เนี่ยแหละที่จะเข้ามาเป็นจอมทัพสำหรับเนรมิตสิ่งที่ผู้สร้างต้องการ ตามหลักง่าย ๆ ยังไม่ต้องเจาะลึกถึงรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่น “เคส” คุณสามารถออกแบบผ่านเครื่องพิมพ์ 3 มิติ แล้วจากนั้นก็ส่งต่อให้กับเครื่อง CNC ที่เกี่ยวข้องจัดการทำตามแบบที่คุณได้ดีไซน์เอาไว้ รวมไปถึง “คีย์แคป” และ “เพลต” ต่างก็ใช้ CNC Machining Center ทำขึ้นมาแบบจบ ครบวงจร ในที่เดียว

คีย์แคบ cnc

ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าคุณอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในวงการนี้ การเป็นผู้สร้างในแบบ “Group Buy” การรู้จักกับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องมีประเภทนี้เอาไว้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่ว่าการรังสรรค์ผ่านแบบจำลอง 3 มิติ ของคีย์บอร์ดแบรนด์คุณ จะได้คลอดออกมาตรงตามสเป็คที่คาดหวังโดนใจเหล่าบรรดาผู้ใช้ที่เชื่อในการดีไซน์ เชื่อในสเป็ค เชื่อในการนำเสนอของคุณ หากคุณมีไอเดียเจ๋ง ๆ บางทีอาจสร้างแบรนด์และกลายเป็นหนึ่งธุรกิจใหม่ของคุณได้เลย

สุดท้ายฝากทิ้งท้ายไว้นิดนึงว่า เร็วนี้โรงกลึงพี-วัฒน์กำลังมีเเผนจะรับบริการทำคีย์แคปผ่านกระบวนการของเครื่อง CNC ขอแค่คุณมีแบบให้เรา แล้วยังไงคอยติดตามกันได้เลย ชาว Keyboard Mechanicalian!!!

กรณีศึกษา IoT เพื่อเพิ่มศักยภาพในอุตสาหกรรม

กรณีศึกษา iot

จากบทความก่อนหน้านี้ ที่พวกเราโรงกลึงพีวัฒน์สาธยายเกี่ยวกับความดีงามของ Internet of Things ว่าดีอย่างไร มีบทบาทกับอุตสาหกรรมมากแค่ไหน รวมถึงมูลค่าการตลาดที่ได้เห็นแล้วต้องอ้าปากค้าง แถมจากการคาดการณ์ผ่านสื่อดังและองค์กรทั้งหลายแหล่ ต่างมองเหมือนกันว่าศักยภาพของสิ่งนี้คงไม่หยุดอยู่เท่านี้แน่ ๆ มีแต่จะพัฒนาต่อขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปทุกวัน ซึ่งเราก็เชื่อว่าใครที่ได้อ่าน อาจจะยังนึกภาพตามได้ไม่ชัดนัก หากมีตัวอย่างที่สามารถหยิบใช้ IoT ได้อย่างชัดเจน คงจะทำให้ถึงบางอ้อและอินกับนวัตกรรมนี้ได้ไม่ยาก

ย้อนกับไปอ่าน “5 เทรนด์ยอดนิยม ประยุกต์ใช้ IoT (Internet of Things) กับอุตสาหกรรมการผลิต” คลิก

ด้วยเหตุนี้เอง เนื้อหาที่เราจะนำมาเสนอวันนี้ เป็นกรณีศึกษา IoT ของ Seeed ที่ได้ออกมาเล่าเรื่องรางการผสมผสาน IoT เข้ากับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่พวกเขาได้มีส่วนร่วมผ่านทางเว็บไซต์หลัก เป็นเนื้อหาที่มีความน่าสนใจมากและน่าจะทำให้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มองเห็นประสิทธิภาพของ Internet of Things ได้เป็นรูปธรรมขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

กรณีศึกษา iot

Seeed Studio คือใคร ?

อันดับแรกเลย.. อยากให้เรามาทำความรู้จักกับ “Seeed Studio” กันก่อนที่จะเริ่มไปติดตามกรณีศึกษา IoT ผ่านการใช้งานในอุตสาหกรรมของพวกเขา โดยบริษัทนี้เป็นสตาร์ทอัพที่ออกแบบเกี่ยวโครงสร้างของอุตสาหกรรมผลิตทางการเกษตร เรียกว่าเป็นการวางแผนเกี่ยวกับธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจนเกิดเป็นโปรเจกต์ จบครบในที่เดียว เปรียบเสมือน “เมล็ดพันธุ์” ดังชื่อแบรนด์ของพวกเขา และให้บริการทางด้านนี้มานนับทศวรรษ 

จากสตาร์ทอัพ ณ เมืองเสินเจิ้น สู่การเป็นที่ยอมรับของหลากหลายบริษัท ทำให้พวกเขาได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆ โปรเจกต์ที่เกี่ยวกับ IoT ซึ่งก็ด้วยแนวคิดการพัฒนาธุรกิจของพวกเขาที่พร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอนั่นเอง โรงกลึงพีวัฒน์เองก็ศึกษาโมเดลธุรกิจของ Seeed Studio ในด้านการทำดิจิตัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อหาแนวทางการนำมาปรับใช้ในโรงงานของเราอีกด้วย

Seeed กับอุตสาหกรรมการผลิต

ที่ผ่านมานั้นพวกเขาได้มีการศึกษาเรื่องของการปรับใช้ IoT สู่อุตสาหกรรมการผลิตมาโดยตลอด เนื่องด้วยการผลิตเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่สุดจากมุมมองของการหยิบใช้ IoT ซึ่งสามารถนำการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไปสู่การดำเนินงานด้านการผลิตได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการจัดการและบำรุงรักษา สินทรัพย์การผลิต รวมถึงบริการภาคสนาม นอกเหนือจากการอนุญาตให้ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินเงินด้วยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว IIoT บนอุตสาหกรรมในการผลิตยังสามารถใช้เพื่อให้บริการจากระยะไกลได้อย่างเป็นอิสระที่สุด จนนำมาสู่การเกิดโปรเจกต์ของพวกเขาดังต่อไปนี้

กรณีศึกษา iot

การผลิตภาคสนามด้วย Odyssey x86J4105

Odyssey x86J4105 เป็นคอมพิวเตอร์บอร์ดเดียว (SBC) ที่ทรงพลังมาพร้อมกับอินเตอร์เฟซการสื่อสารที่หลากหลาย ซึ่งทำให้กลายเป็นตัวเลือกในอุดมคติสำหรับการใช้แอปพลิเคชั่นที่หลากหลายของระบบการประมวลผลขนาดเล็ก (Edge Computing) และสิ่งนี้แหละที่ Seeed ได้ช่วยลูกค้าของพวกเขาสร้างเครื่องทำน้ำผลไม้อัจฉริยะ

เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติอัจฉริยะที่พวกเขาได้เนรมิตขึ้น สามารถทำผลไม้คั้นสดให้กับลูกค้าแบบออโต้ได้ทันทีเมื่อมีการสั่งซื้อ เป็นตัวอย่างที่ดีของการผลิตภาคสนามที่เปิดใช้งาน IoT ทางอุตสาหกรรม โดยเครื่องจะมีแกนประมวลผลของตัวเองสำหรับใช้ควบคุมอินเตอร์เฟซและแอคทูเอเตอร์ (Actuators) ของเครื่องผลิต ทั้งหมดนี้เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์เพื่อให้ตรวจสอบและบำรุงรักษาได้ง่ายอีกด้วย

อุตสาหกรรมทางการเกษตร ร่วมกับ BeagleBone® Green

โปรเจกต์นี้เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Seeed กับ BeagleBoard.org ได้รับสิทธิพิเศษโดยมอบหมายให้ใช้งานตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ IoT สำหรับอุตสาหรรมสัตว์ปีกและฟาร์มของลูกค้าของพวกเขาด้วย BeagleBone® Green สิ่งนี้เป็นการอิงจากการออกแบบโอเพนซอร์สของ BeagleBone Black มีตัวเชื่อมต่อกับ Grove สองตัวเพื่อการปรับใช้บนโมดูลเซ็นเซอร์และการเชื่อต่ออินเตอร์เนตผ่านอีเธอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย

ซึ่งโซลูชั่นที่ว่านี้ให้การเชื่อมต่อระหว่างระบบการเกษตรกับคลาวด์ ทำให้ตรวจสอบข้อมูลระยะไกลแบบเรียลไทม์ได้อยู่เสมอ ทั้งการวัดสภาพแวดล้อมที่ทำได้ดีและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ส่งผลด้านเทคนิคช่วยให้เงื่อนไขการปรับใช้ทางการเกษตรทำได้อย่างเหมาะสมเมื่อมีการใช้งานอยู่เรื่อย ๆ ตลอดจนการประมวลผลเพื่อปรับปรุงผลผลิต

ยกระดับการขนส่งด้วย BeagleBone® Green x IIoT

อย่างที่เคยกล่าวไว้เมื่อบทความก่อนว่า IoT นั้นสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการขนส่งได้เป็นอย่างดี คาดการณ์ได้เกือบจะทุกสิ่งอย่างที่คุณต้องการให้ประเมิน และสิ่งนี้เองที่ Seeed นำมาปรับใช้เข้ากับ BeagleBone® Green ด้วยการปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อใส่ฟังก์ชั่นการจ่ายพลังงานผ่านอีเธอร์เน็ต (PoE) และอินเตอร์เฟซ I/O เพิ่มเติม ทำให้พวกเขาสร้างโซลูชั่น IIoT แบบกำหนดเอง สำหรับรวบรวมข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นระหว่างการขนส่งผลิตภัณฑ์สด ทำให้สามารถติดตามเส้นทาง ปัญหาต่าง ๆ รวมถึงคุณภาพของสินค้าได้ตลอดกระบวนการ

การทำงานของโซลูชั่นนี้ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกอัพโหลดไปยังระบบคลาวด์เช่นเคย ทั้งนี้ก็เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ การทำเช่นนี้จะช่วยให้สามารถระบบช่องโหว่งในการขนส่งได้อย่างตรงจุด โดยรวมแล้วการประยุกต์ใช้ IoT เชิงอุตสาหกรรมด้านลอจิสติกส์นี้ นอกจากป้องกันค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นแล้ว สิ่งสำคัญที่เพิ่มขึ้นมาคือประสิทธิภามรวมในการกระจายผลิตภัณฑ์ที่เทคโนโลยีเข้ามายกระดับได้แบบมากโขเลยทีเดียว

นับว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับกรณีศึกษา IoT บนอุตสาหกรรมการผลิตที่น่าสนใจอย่างมาก และนี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของบริษัทสตาร์ทอัพที่ใช้ Internet of Things เข้ามายกระดับธุรกิจของพวกเขา ซึ่งแต่ละอย่างที่กล่าวมาไม่ใช่แค่เพียงการช่วยเซฟต้นทุนเพื่อที่จะทำให้คุณมีกำไรได้มากขึ้น แต่ยังลดเวลาอันเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นจากการรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบ ก่อนวิเคราะห์ออกมาอย่างชาญฉลาด และเชื่อเราเถอะว่าในอนาคต IoT จะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ และมีเรื่องมาให้เราประหลาดใจแบบไม่พักแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับเนื้อหาต่าง ๆ มา ณ ที่นี้

https://www.seeedstudio.com/blog/2021/02/24/what-is-industrial-iot-case-studies/

5 เทรนด์ยอดนิยม ประยุกต์ใช้ IoT (Internet of Things) กับอุตสาหกรรมการผลิต

Internet of Things

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพูดถึง IoT (Internet of Things) แต่ที่ผ่านมานั้นเราพาเลี้ยวไปรู้จักกับสิ่งนี้แค่ผิวเผิน หากว่ากันตามตรง.. ก็ไม่ค่อยจะสมกับฐานะของเจ้าสิ่งนี้เท่าไหร่นัก เพราะถือเป็นสิ่งที่มีศักยภาพอย่างมาก เรียกได้ว่าสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ ตลอดจนโลกอุตสาหกรรมทุกแขนง แต่ก็ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า.. ถ้าคุณนำมาปรับใช้ได้ตรงกับธุรกิจของคุณ สิ่งนี้สร้างประโยชน์และยกระดับทุกอย่างได้ชนิดที่คุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดในการฝังเซ็นเซอร์และชิปลงในวัตถุทางกายภาพ อาจฟังดูไร้สาระจนแทบจะเป็นไปไม่ได้..

อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องขอบคุณ Internet of Things ที่เนรมิตรให้แนวคิดสุดเครซี่นี้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ทำให้เทคโนโลยีนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นแนวคิดหลักสำหรับการทำธุรกิจจำนวนมากภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว สิ่งนี้ยังได้เปลี่ยนแปลงบางแง่มุมในชีวิตประจำวันของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็น การขับรถ การทำอาหาร การจัดซื้อ รวมถึงการผลิตต่าง ๆ ซึ่งก็วนเข้าเรื่องของอุตสาหกรรมที่เราอยากจะนำมาขยายในวันนี้ เกี่ยวกับแนวโน้ม 5 กรณีที่จะทำให้การใช้งาน IoT ได้ดีที่สุด เต็มประสิทธิภาพที่สุดนั่นเอง

Internet of Things

อุตสาหกรรมการผลิตได้ประโยชน์อย่างไรจาก IoT ?

องค์การทั่วโลกหลายแห่งประสบความสำเร็จในการผสานรวมเครื่องมือ IoT เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขาเอง สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ลดเวลาการส่งมอบ และยังลดค่าใช้จ่าย ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาด Internet of Things เพิ่มเป็นทวีคูณในปัจจุบันรวมถึงอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

จากทั้งหมดที่กล่าวมา ก็อย่าได้หาแปลกใจแต่อย่างใดที่ IoT นั้นจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิต ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ผลิตเองและลูกค้าเป้าหมาย สิ่งนี้ในทางอุตสาหกรรมช่วยให้ผู้ผลิตสามารถขยายขนาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ในที่สังเกตการณ์และให้บริการจากระยะไกลได้แบบสบาย ๆ ดั้งนั้น บริษัทต่าง ๆ จึงสามารถประเมินความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสมกว่าที่เคย

ทางด้านของการผลิต หนึ่งในฐานะของอุตสาหกรรม กำลังได้รับโอกาสจากสิ่งนี้อย่างมหาศาล โรงงานหลายแห่งใช้ระบบคอนโทรลที่เชื่อมต่อกันสำหรับขบวนการและควบคุมดูแลอยู่แล้ว ซึ่งประโยชน์หลักของโซลูชัน IoT ดังนี้ :

  • ช่วยตรวจจับและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจก่อให้เกิดความล่าช้า
  • สามารถเพิ่มคุณภาพการผลิตและดึงประโยชน์จากวัตถุดิบ รวมถึงส่วนประกอบที่ผลิตออกมาด้วยการดำเนินการจาก AI
  • ช่วยให้ผู้จัดการสามารถจัดสรรทรัพยาการได้ดียิ่งขึ้น ปรับปรุงทักษะของพนักงาน และทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานปลอดภัยได้มากกว่าเดิม

“70% ของบริษัทต่าง ๆ มั่นใจว่าการนำ IoT ไปใช้สามารถลดต้นทุนและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของพวกเขาได้ดีเยี่ยม”

นี่เป็นหนึ่งในคำกล่าวของผู้สันทัดกรณีที่ติดตามศึกษาของการพัฒนาสิ่งนี้อย่างใกล้ชิด ส่วนประโยคข้างต้นนี้นั้นเกินเลยความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ลองอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ประกอบการตัดสินใจดูกันหน่อยดีกว่า

Internet of Things

เจาะลึกตัวอย่าง IoT ที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมการผลิต

ณ ปัจจุบัน โครงการ IoT จำนวนมากเกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกและสินทรัพย์ การรักษาความปลอดภัยและการดำเนินงาน การขนส่งการบริการลูกค้า ด้วยเหตุนี้ Internet of Things จึงเป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นปัจจัยหลักสำหรับธุรกิจในปี 2021 และต่อ ๆ ไป และนี่คือ 5 ตัวอย่างการใช้ IoT ที่ดีที่สุดในการผลิตที่เราจะนำมาบอกเล่าผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้ต่อไป

1. การซ่อมแซมเชิงคาดการณ์

ด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ขับเคลื่อนด้วย IoT ที่มีจุดเซ็นเซอร์ต่างกัน (อุณหภูมิ การสั่นสะเทือน แรงดันไฟ้า กระแสสัญญาณ ฯลฯ) เข้ากับอุปกรณ์อื่น ๆ เราจะได้รับข้อมูลการบำรุงรักษาที่จำเป็นได้ ข้อมูลประเภทนี้จะช่วยในการประเมินสภาพปัจจุบันของเครื่องจักร กำหนดสัญญาณเตือน และเปิดใช้งานกระบวนการซ่อมที่เกี่ยวข้องได้ทันทีทันใด

2. การควบคุมการผลิตระยะไกล

คุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของการควบคุมการผลิตระยะไกลในระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม คือการกำกับดูแลเครื่องจักรในกระบวนการผลิตแบบรวมศูนย์ข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจถึงพื้นที่การผลิตจริงได้ชัดเจน รวดเร็ว และมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ให้ความช่วยเหลือพนักงานในการวิเคราะห์ข้อมูลองค์กร ทั้งหมดนี้ทำให้เทคโนโลยี IoT เป็นเครื่องมือหลัก สร้างความมั่นใจต่อการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติที่ปลอดภัย ทั้งยังช่วยเรื่องการตรวจสอบพนักงาน และตำแหน่งของบุคลากรได้แบบเรียลไทม์ (IIoT เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยโรงงานอุตสาหกรรมอัพเดทมาตรการป้องกันภัย)

3. การติดตามทรัพย์สิน

ถ้าพูดคุณสมบัติที่สำคัญไป เชื่อว่าใครที่ติดตามเรามาโดยตลอดจะคุ้นหูกับ “Beacon”  (ทำความรู้จัก Beacon หนึ่งใน IoT น่าสนใจ ที่มูลค่าตลาดอาจสูงระดับหมื่นล้าน!) อันเป็นหนึ่งใน IoT ที่น่าสนใจ ทำให้หลายคนรู้จักสิ่งนี้เป็นวงกว้าง 

ซึ่งงานหลักของการติดตามอยู่ในการค้นหาและดูแลสินทรัพย์สำคัญ สามารถนำมาใช้กับอุตสาหกรรมการผลิตได้ เช่น ส่วนประกอบของซัพพลายเชน (วัตถุดิบ คอนเทนเนอร์ และสินค้าสำเร็จรูป) โดยแอปพลิเคชั่นดังกล่าวสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งได้อย่างมาก รักษาสต็อคของงานที่กำลังดำเนินการ และเปิดเผยการถูกจารกรรมและการละเมิดได้อีกด้วย

4. การจัดการโลจิสติกส์

“IoT สามารถเปิดเผยความไร้ประสิทธิภาพของซัพพลายเชนโดยกำจัดจุดบอดออกจากกระบวนการโลจิสติกส์ได้เป็นอย่างดี” กล่าวโดย ฟอร์บส์ สื่อยักษ์ใหญ่ด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การจัดการกลุ่มยานยนต์ผ่านอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย IoT ช่วยให้ผู้ผลิตกำจัดหรือลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายของยานพาหนะ พนักงาน และการขนส่ง โซลูชันกลุ่มยานยนต์อัตโนมัติจะช่วยให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผู้จัดการด้านโลจิสติกส์สามารถดึงศักยภาพของ IoT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็น ด้านการซ่อมแซมและค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง การส่งมอบอันชาญฉลาด การวินิจฉัยที่แม่นยำตลอดจนถึงผู้ขับรถขนส่ง

5. Digital Twins

การใช้แนวทาง IoT ที่เรียกว่า Digital Twins ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแบบจำลองดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เมื่อเสริมศักยภาพด้วย IoT, POC (การพิสูจน์แนวคิด), MVP (ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้ขั้นต่ำ) ต้นแบบรูปลักษณ์นี้แม่นยำมากจนเราสามารถทดลองและคาดการณ์ฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ได้เสมือนจริง

พื้นที่แอปพลิเคชั่น IoT ประเภทนี้จะช่วยให้คุณจำลองอายุการใช้งานของเครื่องจักร ตรวจสอบการอัพเดต รวมไปถึงการคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แม้กระทั่งเรื่องของคอขวด ทุกอย่างนี้ผู้ผลิตสามารถรับแบบจำลองของอุปกรณ์และสินค้าสำหรับการตรวจสอบในสภาพแวดล้อมเหมือนจริงที่สุด ก่อนที่สุดท้ายจะออกสู่ตลาดจริงได้อย่างมั่นใจ

เทคโนโลยีนี้ก็เป็นอีกเทคโนโลยีนึงที่โรงกลึงพี-วัฒน์ของเราให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เราได้ประเมินความคุ้มทุนและหาแนวทางเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องจักร CNC ในโรงกลึงของเรา ก็เพื่อประโยชน์สูงสุดในการเพิ่มศักยภาพในการทำงานของวิศวกร และคุณภาพในงานกลึงที่ผลิต

Internet of Things

IoT ได้รับความสนใจมากขนาดไหนในปัจจุบัน ?

อุปกรณ์ IoT จำนวนมากผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในปัจจุบัน ดังนั้น จำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งานบน Internet of Things ที่ไม่รวมสมาร์ทโฟน แท็บเลต แลปท็อป เพิ่มขึ้นเป็น 8.3 พันล้านเครื่องเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา (2019) นอกจากนี้ จำนวนหน่อยของ IoT ของอุตสหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ภายในปี 2025 จะอยู่ที่ 29.7 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมาก เพราะเป็นการนับแค่ตลาดของอุตสาหกรรมแบบเพียว ๆ

และอย่างที่ได้กล่าวไป มีองค์กรมากมายประสบความสำเร็จในการใช้ฟิวชั่นเครื่องมือ IoT เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของตน ทั้งหมดทั้งมวลจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสิ่งนี้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในไม่กี่ปีข้างหน้า 

ตามรายงานของ IDC ระบุว่ามูลค่าของ IoT จะเพิ่มขึ้นมากถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 มิหนำซ้ำ Statista ยังออกมาตอกย้ำความมั่นใจโดยกระชุ่นถึงตัวเลขระดับ 3.9 – 11.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2025 

เห็นตัวเลขมหาศาลขนาดนี้ แล้วคุณล่ะ.. ได้คำตอบหรือยังว่า IoT นั้นมีความน่าสนใจมากน้อยขนาดไหน ?

ขอขอบคุณบทความคุณภาพที่นำมาใช้ประกอบบทความ มา ณ ที่นี้

https://www.byteant.com/blog/5-best-use-cases-of-iot-in-manufacturing/

https://www.record-evolution.de/en/use-cases-utilizing-iot-and-the-artificial-intelligence-of-things-aiot-in-manufacturing/

https://tulip.co/blog/industrial-iot-use-cases-and-applications/

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ อัจฉริยะแห่งการทำซ้ำ คีย์แมนแห่งวงการ mass production

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์สำคัญอย่างไร ? ความหมาย ประเภท และการใช้งาน

เรื่องราวของ “จิ๊กและฟิกซ์เจอร์” (Jigs and Fixtures) เราเคยนำเสนอไปแล้วครั้งหนึ่ง (รู้ไว้เป็นประโยชน์ ข้อดีของจิ๊กและฟิกซ์เจอร์ ฮีโร่แห่งการทำซ้ำ) ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดมากมายนัก แต่ก็มีการแนะนำให้คนอุตสาหกรรมได้ทำความรู้จักกับสองเครื่องมือสำคัญที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่พอสมควร โดยคีย์หลักของฟังก์ชั่นสองสิ่งนี้ บอร์นทูบีเพื่อการผลิตที่แม่นยำ อันเป็นที่มาของการรักษาประสิทธิภาพในการ “ทำซ้ำ” และเน้นย้ำในเรื่องของควอลิตี้ที่ต้องเดินทางควบคู่กันกับการตรวจสอบคุณภาพของชิ้นงาน ซึ่งสองเครื่องมือนี้ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ถูกเรียกแบบรวมกันอยู่บ่อย ๆ สิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือความสับสนระหว่างเครื่องมือทั้งสองอย่างนี้ แม้จะมีลักษณะการทำงาน การใช้งานที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่เป็นจุดสำคัญ

หากคุณเป็นคนอุตสาหกรรมหรืออยากจะเลือกใช้งานสิ่งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลองเลื่อนลงไปติดตามเนื้อหาด้านล่างนี้ รับรองได้เลยว่าคุณจะได้รู้จักกับสิ่งนี้มากกว่าที่เคยแน่นอน

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์

ทำไมต้องใช้ จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ ?

ในยุคที่อุตสาหกรรมการผลิตเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้การจัดหาเพื่อผลิตชิ้นส่วนด้วยความรวดเร็วแม่นยำมีความต้องการสูงมากในตลาด และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่คอยตามหลอกหลอนผู้ผลิตมาโดยตลอด วนกลับมาที่หน้าที่สำคัญของจิ๊กและฟิกซ์เจอร์ ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องการจับวางตำแหน่งและรองรับชิ้นงาน แต่หากบอกว่าสาเหตุมีเพียงเท่าก็นี้คงไม่สาแก่ใจต่อคำตอบที่ว่า “ทำไมเราถึงต้องใช้จิ๊กและฟิกซ์เจอร์”

เรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งในสายงานผลิต คือ “การรักษาคุณภาพ” โดยเฉพาะกับชิ้นงานที่ต้องทำทีละจำนวนมาก ๆ (mass production) ซึ่งโรงกลึงพีวัฒน์ของเรายืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีจากการทำงานด้าน mass มาอย่างยาวนาน และสิ่งนี้เองคือต้นตอสำคัญที่เครื่องมือทั้งสองอย่างจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เมื่อใดก็ตามที่มีความจำเป็นใจการทำซ้ำ ตลอดจนการเปลี่ยนชิ้นส่วนในระบบการผลิตจำนวนมาก อุปกรณ์ “จิ๊กและฟิกซ์เจอร์” นอกจากจะรับประกันได้ว่าชิ้นงานที่ได้มีคุณภาพมีความแม่นยำสูง นี่ยังเป็นหนึ่งในวิธีที่ประหยัดที่สุดด้วยหากเทียบกับวิธีอื่น

ความหมายของ “จิ๊กและฟิกซ์เจอร์”

สำหรับท่านไหนที่ไม่อยากจะกดลิงค์เพื่อย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้า เราจะมาบอกถึงความหมาย ความสำคัญคร่าว ๆ ของสองอุปกรณ์นี้ก่อนที่จะพาไปลงลึกถึงประเภทต่าง ๆ การใช้งาน รวมถึงความแตกต่างที่สามารถเป็นจุดสังเกตในการแยก เพื่อนำไปใช้งานให้ถูกต้องตามความสามารถของอุปกรณ์และชิ้นสวนงานที่คุณต้องการผลิต

จิ๊กนั้นมีความสามารถในการจับตำแหน่ง นำทาง และรองรับชิ้นงานในการดำเนินการบางอย่าง รวมถึงการเคลื่อนย้ายด้วย ส่วนฟิกซ์เจอร์นั้นก็มีความสามารถที่คล้ายกันแต่จะไม่สามารถนำทางเครื่องมือได้ ส่วนความแตกต่างอื่น ๆ เดี๋ยวเราจะลิสต์เป็นข้อเพื่อที่จะสามารถแยกแยะและนึกภาพตามได้อย่างชัดเจน ในหัวข้อต่อไป

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์

ความแตกต่างระหว่างจิ๊กและฟิกซ์เจอร์

ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจิ๊กซ์และฟิกซ์เจอร์ คือจิ๊กจะนำทางเครื่องมือ แต่ฟิกซ์เจอร์นั้นไม่ช่วยในสิ่งนี้ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอย่างสามารถเป็นไกด์ช่วยซัพพอร์ตและค้นหาตำแหน่งของชิ้นงานได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน

จิ๊กจะมีส่วนที่สัมผัสกับเครื่องมือ แต่ในกรณีของฟิกซ์เจอร์นั้นไม่สัมผัสกับเครื่องมือโดยตรง ซึ่งทั้งสองอุปกรณ์นี้จะใช้กฎ 3-2-1 เพื่อจำการชิ้นงานอย่างเหมาะสม ความหมายโดยย่อของกฎ 3-2-1 ทั่วไปจะเป็นการล็อคองศาอิสระทุกระดับเพื่อให้ชิ้นงานไม่สามารถเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เราไมต้องการนั่นเอง

จุดสังเกตที่แตกต่างของสองอุปกรณ์

จิ๊ก (Jigs) / ฟิกซ์เจอร์ (Fixtures)
  • นำทางเครื่องมือ / ไม่นำทางเครื่องมือ
  • สัมผัสกับเครื่องมือ / ไม่มีการสัมผัสกับเครื่องมือ
  • อุปกรณ์จับยึดมีน้ำหนักเบา / อุปกรณ์จำยึดมีนำหนักมาก
  • การออกแบบซับซ้อน / การออกแบบเรียบง่าย
  • ไม่จำเป็นต้องใช้บล็อคเกจ / อาจจำเป็นต้องใช้บล็อคเกจ
  • ไม่จำเป็นต้องยึดกับโต๊ะ / ต้องมีตัวช่วยยึดเนื่องจากมีน้ำหนักมาก
  • อุปกรณ์จำยึดราคาสูง (หากมีความเป็นต้องยึด) / อุปกกรณ์จำยึดราคาย่อมเยาว์
จิ๊กและฟิกซ์เจอร์
ข้อพิจารณาการออกแบบของจิ๊กและฟิกซ์เจอร์
  • ศึกษาชิ้นงานอย่างเหมาะสม
  • ศึกษารายละเอียดของเครื่องมือ
  • วิธีการการจัดการแคลมป์ (Clamping arrangement)
  • เส้นทางการขนถ่ายชิ้นงาน
  • กำหนดขอบเขตความคลาดเคลื่อนและความแม่นยำในชิ้นงาน
  • แมชชีนเบดไซส์
  • ความจุของเครื่องจักร
  • ความต้องการแหล่งพลังงาน
  • ช่องว่างระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ
  • ค่าใช้จ่าย

ยกระดับการใช้ “จิ๊กและฟิกซ์เจอร์” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย “เครื่องพิมพ์ 3 มิติ”

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์

เมื่อได้รับรู้ถึงความสำคัญและคุณประโยชน์ต่าง ๆ ของ จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ กันไปแล้ว อีกหนึ่งเทคโนลีใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มประสิทธิภาพให้กับทั้งสองอุปกรณ์ การใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติออกแบบจะสามารถช่วยให้คุณเพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานเพิ่มเติมใด ๆ ในจิ๊กหรือฟิกซ์เจอร์ได้ในขณะที่อยู่ในขั้นตอนดังกล่าว ประโยชน์ของการออกแบบของ AM (Additive Manufacturing) จะขช่วยยกระดับการเข้าถึงคุณสมบัติขนาดเล็กที่ยากต่อการตัดเฉือนและรูปทรงที่เป็นไปได้ยากในการกัดหรือกลึง ทั้งหมดนี้สามารทำได้ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3D เข้ากับสองอุปกรณ์พระเอกของเรา

สิ่งที่น่าตื่นเต้นตอนนี้ จากแหล่งข้อมูลได้ระบุว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ AM กำลังเดินหน้าพัฒนาโซลูชั่นอัตโนมัติอย่างแข็งขัน ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มความเร็วในการออกแบบ และช่วยให้วิศวกรผู้ดูแลสามารถประเมินตัวเลือกในการดีไซน์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกที่สุด

ในแหล่งข้อมูลนั้นยังยกตัวอย่างบริษัทยานยนต์ยักษใหญ์อย่าง “ฟอร์ด” ที่แสดงความพึงพอใจออกสื่อว่าระบบอัตโนมัติสามารถลดเวลาในการออกแบบเครื่องมือจากหลักชั่วโมงเหลือเป็นหน่วยนาที ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นผลมาจากการออกแบบด้วย เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ก่อนที่จะกำหนดค่าของจิ๊กและฟิกซ์เจอร์ได้ตรงความต้องการ ดึงศักยพภาพสูงสุดของเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตออกมาใช้ประโยชน์ได้สูงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลประกอบบทความ รวมถึงเนื้อหาสาระประโยชน์ดี ๆ จาก

Jigs And Fixtures: Definition, Types And Applications | RiansClub

Jigs and Fixtures: 6 Ways to Improve Production Efficiency with 3D Printing – AMFG

แมชชีนทูล 4 อันดับแรกที่จะเติบโตในอนาคต จากมุมมองของบริษัทการเงิน การลงทุน

แมชชีนทูล

สถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องของเทรนด์เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับโลกยุค “New Normal” หลายประเทศยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับ โควิด-19 ต่างมองยาวไปถึงเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่าง ๆ ตลอดจนถึงมุ่งมั่นพัฒนารูปแบบการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศ ให้มีความพร้อมต่อการทำธุรกิจ ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อตัวผู้ประกอบการเองแล้ว ยังส่งผลกลับมาต่อประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นในการลงทุน และอื่น ๆ อีกมากมาย

และเช่นเคย.. เมื่อเราพบกันส่วนใหญ่ก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมมาอัพเดตกันอยู่เสมอ ซึ่งวันนี้เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ผู้เขียนได้เจอมาในระหว่างค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับเทรนด์ “แมชชีนทูล” ที่สื่อการเงินเจ้าใหญ่อย่าง DLL Finance แห่งดินแดนเสรีภาพ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาวิเคราะห์เกี่ยวกับแน้วโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างน่าสนใจ

แมชชีนทูล

คือต้องกล่าวก่อนว่า DLL นั้นได้นิยามตัวเองว่าเป็น “เพื่อนคู่คิดด้านการเงินการลงทุน” พร้อมสนับสนุนทุกธุรกิจใหม่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหากอุตสาหกรรมนั้นมีแนวทางปฏิบัติที่พร้อมจะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามายกระดับธุรกิจในภาคส่วนของตน ส่วนใหญ่เป็นการปรับแนวคิดตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง ล้วนมีผลกระทบเกี่ยวกับผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายแมชชีนทูลอย่างยิ่ง จากสาเหตุดังกล่าวทำให้พวกเขาได้รวบรวมเทรนด์ “แมชชีนทูล” 4 อันดับแรกที่จะสร้างโอกาสเติบโตในอนาคต คาดว่าจะได้รับประโยชน์ในระยะกลางถึงระยะยาวเนื่องจากแพร่หลายมากขึ้นทั่วทั้งเศรษฐกิจ ส่วนจะมีเทรนด์ใดบ้าง.. เชิญติดตามเนื้อหาด้านล่างต่อจากนี้ได้เลย

“แมชชีนทูล” ที่มีแน้วโน้มไปได้ไกลในโลกยุคใหม่ ช่วยอะไรได้บ้าง

มีรายงานว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินการลงทุนเจ้านี้ มีการส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปคลุกคลีเพื่อติดตามแน้วโน้มความเป็นไปของเทคโนโลยีเครื่องมือ เครื่องจักรกลแบบใกล้ชิด ซึ่งคำกล่าวข้างต้นที่ได้โปรยเอาไว้ ว่าพวกเขานั้นพร้อมสนับสนุนทุกธุรกิจที่มีการวางแผนให้เข้ากับเครื่องมือสมัยใหม่ มาจากปากของ สตีฟ โฮป ผู้จัดการ DLL CT&I ที่ดูแลเรื่องนี้ โดยโปรแกรมนี้นั้นจะมีทั้งคำแนะนำ แนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจของผู้ประกอบการที่ไม่กลัวในการเปลี่ยนแปลงได้ยกระดับ สร้างการเติบโตของยอดขายและประสิทธิภาพในการดำเนินงานรูปแบบใหม่อยู่เสมอ

แมชชีนทูล

4 เทรนด์ แมชชีนทูล ในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ

  1. ยานพาหนะไฟฟ้า (Electric Vehicles)

เป็นสิ่งที่อุตสาหรกรรมการผลิตต้องมองให้ขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชิ้นส่วนตลอดจนถึงกระบวนการผลิต ยุคแห่งการเปลี่ยนถ่ายจากเครื่องยนต์สันดาปทั่วไปมาสู่แบบไฟฟ้า ซึ่งตอนนี้เอาแค่ในไลน์ของ “รถยนต์” ยังมีให้เลือกทุกประเภทเกือบจะครอบคลุมทั้งหมดแล้ว 

ในขณะเวลาที่เดินหน้าไม่ถอย เทคโนโลยีก็ต่างล้ำขึ้นไปทุกขณะ เรื่องนี้จะส่งผลกระทบมากแน่นอนหากหลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องยังไม่ปรับตัวมาสนใจระบบพลังงานนี้

  1. ระบบอัตโนมัติ – อุตสาหกรรม 4.0 (Automation – Industry 4.0)

เรื่องนี้เราเคยเขียนแบบแยกชำแหละให้เห็นภาพกันแบบชัด ซึ่งคุณสามารถย้อนกลับไปอ่านได้แบบเต็ม ๆ เลย เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตที่มีความจำเป็นอย่างมากในการเดินหน้าเพื่อแข่งขันสำหรับตลาดการผลิตแบบอัตโนมัติ เรื่องของเครื่องจักรต่าง ๆ และหุ่นยนต์จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น (เทรนด์อุตสาหกรรม 2021 จากยุคเดิมสู่ อุตสาหกรรม 5.0 ผ่านมุมมองสื่อดัง Forbes)

สิ่งนี้นอกจากจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในสายงานผลิตแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทรัพยากรมนุษย์ ที่เราสามารถโยกบุคลากรเหล่านี้ไปทำงานที่เกิดประโยชน์ได้มากกว่า เช่น การควมคุมระบบต่าง ๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ ทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ แถมยังไม่ต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้นในโรงงานอีกด้วย

  1. การผสมผสานของการพิมพ์ 3 มิติ (Integration of 3D printing)

สิ่งนี้แม้จะได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงที่ผ่านมานี้ แต่ยังคงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากในการเข้าสู่ตลาด แต่คุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าการพิมพ์แบบ 3 มิติ จะเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมของคุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้เทคโนโลยีนี้ หากให้นึกแบบเร็ว ๆ ก็คือสายงานการผลิตที่ต้องการให้แมชชีนทูลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถสร้างผลผลิตออกมาในจำนวนที่มากขึ้นนั่นเอง

ภาคการผลิตในศตวรรษที่ 21 บาง OEM ที่เชี่ยวชาญในเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ต่างอัพเกรดเครื่องจักรให้ทรงอานุภาพมากกว่าเดิม สำหรับรองรับความต้องการของลูกค้าที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ซึ่งปัจจุบันนี้เครื่องจักรหลายแขนงต่างมีเทคโนโลยีนี้เป็นส่วนหนึ่งแทบจะเกือบทั้งหมดแล้ว

  1. แมชชีนทูล ความแม่นยำสูง (Higher precision machine tools)

นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย โครงสร้างและส่วนประกอบชิ้นงานที่ปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ การที่มี “เครื่องมือกล” ที่มีความเที่ยงตรงสูง สามารถตัดเฉือนชิ้นส่วนต่าง ๆ ด้วยความแม่นยำ มีความละเอียดมายิ่งขึ้น 

จริงอยู่ว่าเรื่องของต้นทุนนั้นก็มีความสำคัญ แต่โลกกำลังเปลี่ยนไปในแง่ของประสิทธิภาพ หากตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แม้จะมีราคาที่สูงกว่าแลกกับคุณภาพที่ดีขึ้น ทำได้ตามกำหนดครบทุกกระเบียดนิ้ว สเป็คนี้ย่อมเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าตามความเห็นของ DLL ที่ได้เก็บข้อมูลมาเป็นเวลาพอสมควร

แมชชีนทูล

สุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงมุมมองของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุนเท่านั้น อาจจะเป็นคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังมองเห็นทิศทางของเทรนด์อุตสาหกรรมซึ่งรุดหน้าอย่างรวดเร็วได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร หากมีข้อไหนที่สามารถปรับใช้กับธุรกิจของคุณ โรงกลึงหรือโรงงานขนาดเล็ก-กลาง ลองนำไปวิเคราะห์ดู อาจจะค้นพบแนวทางใหม่ที่เหมาะสมเพิ่มขึ้น การปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง ไม่มีคำว่าเสียเวลาแน่นอน อยู่ที่มุมมองของคุณแล้วล่ะว่าจะเลือกใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการคาดการณ์นี้อย่างไร หากมองแบบมักน้อยที่สุด คือได้เรียนรู้ผ่านมุมมองของผู้ลงทุนที่คลุกคลีกับหลายธุรกิจ ก็น่าจะพอมีอะไรให้ปรับใช้บ้างไม่มากก็น้อย

แนวทางส่งเสริมการกำจัดขยะอุตสาหกรรมให้ถูกวิธี

กำจัดขยะอุตสาหกรรม

จากข้อมูลเมื่อปี 2016 มีรายงานว่าประเทศไทยนั้นผลิตกากอุตสาหกรรมอันตรายออกมามากถึง 2.8 ล้านตัน แต่ที่น่าตระหนกไปกว่านั้น มีเพียง 1.1 ล้านตัน ที่ถูกนำไปเข้าสู่กระบวนการ กำจัดขยะอุตสาหกรรม แบบถูกต้องโดยหน่วยงานบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคิดเป็นเพียง 40 เปอร์เซนต์ของทั้งหมด เรียกว่าไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ และจากที่ได้ศึกษาข้อมูลผ่านเว็บสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย พบว่าสาเหตุคร่าว ๆ มาจากต้นทุนการกำจัดขยะอุตสาหกรรมนั้นมีมูลค่าที่สูงลิบ ขยะอันตราย 1 ตัน มีต้นทุนในการกำจัดตั้งแต่ 4,000 บาท ไปจนถึงระดับ 150,000 บาท ตามแต่ละประเภทกันเลยทีเดียว

แต่ก่อนจะตามหาสาเหตุที่ทำให้การกำจัดขยะอุตสาหกรรมหรือกากอุตสาหกรรม บทความนี้อาจะเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้คุณรู้จักกับสิ่งนี้มากยิ่งขึ้น และน่าจะเป็นประโยชน์หากอุตสาหกรรมของคุณสามารถแยกประเภทของขยะอุตสาหกรรมแต่ละประเภทได้แบบจริงจัง ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายบนการเลือกใช้บริการกับบริษัทที่เกี่ยวข้องได้แบบตรงโจทย์ต่อธุรกิจของคุณมากที่สุด โดยสิ่งต่าง ๆ นี้เป็นหนึ่งในกระบวนการรักษ์โลกอีกด้วย

กำจัดขยะอุตสาหกรรม

ขยะอุตสาหกรรม คืออะไร?

ของเสียจากอุตสาหกรรมประกอบด้วยของเสียต่าง ๆ ที่เกิดจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรมในระหว่างกระบวนการผลิต ดังนั้น ของเสียอุตสาหกรรมอาจประกอบไปด้วยของเสียจากสารเคมี ของเสียอันตราย และของเสียที่เป็นพิษ โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาผู้ที่มีความสามารถมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการกำจัดของเสียจากอุตสาหกรรมของคุณ นอกจากจะเป็นการดำเนินตามมาตรการสากลแล้ว ยังเป็นการปกป้องสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อมจากของเสียอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายนั่นเอง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องเข้าใจว่าอุตสาหกรรมของคุณกำลังสร้างของเสียจากอุตสาหกรรมประเภทใด เพื่อที่จะได้ทราบว่าของเสียเหล่านั้นจะต้องได้รับการจัดการอย่างไร รวมถึงการปฏิบัติตามข้อระเบียบบังคับใดซึ่งก็อาจแตกต่างกันไปตามประเภทของเสียต่าง ๆ

ประเภทของขยะอุตสาหกรรม

จากขยะมากมายที่หลายประเภทองค์กรผลิตขึ้น โดยแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้

  • ของเสียที่เป็นพิษ
  • ขยะเคมี
  • ขยะอุตสาหกรรม
  • ขยะมูลฝอยชุมชน
  • ผลิตภัณฑฺ์กระดาษ
  • กากกัมมันตภาพรังสี
  • โลหะ
  • เชื้อเพลิงสำรอง
  • น้ำมันหล่อลื่น
  • แบตเตอรี่
  • สารเคมีต่าง ๆ เช่น กรด ด่าง และฟีนอล
  • เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ปั๊มสำหรับกระบวนการผลิต และหม้อแปลงไฟฟ้า
  • ของเสียในห้องปฏิบัติการ
  • และอื่น ๆ อีกมากมาย

ซึ่งจากลิสต์ที่เราได้กล่าวไปจะเห็นได้ว่ามีขยะอุตสาหกรรมบางประเภทที่ไม่สามารถจำกัดได้ตามปกติ เช่น ของเสียที่เป็นสารพิษต่าง ๆ สารเคมี และกัมมันตภาพรังสี ซึ่งจำต้องมีบริษัทและผู้ชำนาญการที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกฝ่ายแน่ใจว่าของเสียอันตรายจะไม่ทำให้ใครหรือสิ่งใดต้องตกอยู่ในความเสี่ยง

กำจัดขยะอุตสาหกรรม

แนวทางการกำจัดขยะอุตสาหกรรมที่น่าสนใจของประเทศยักษ์ใหญ่

ประเทศสหรัฐอเมริกา ในแต่ละปีนั้นมีการสร้างและกำจัดขยะมูลฝอยทางอุตสาหกรรมประมาณ 7.8 พันล้านตัน ซึ่งเป็นจำนวนเยอะกว่าประเทศไทยแบบเทียบกันไม่ได้เลย ทั้งนี้ก็มาจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศที่มีความเข้มงวดอย่างมาก ทำให้บริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมถึงการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับขยะอุตสาหกรรมที่คุณประกอบธุรกิจ โดยการจัดการของเสียจากอุตสาหกรรมจะมีการใช้เทคโนโลยีและบริการที่เหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาการจัดการตามข้อกำหนดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่

มีรายงานว่ามีโรงงานหลายแห่งในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ที่เปิดให้ทิ้งขยะอุตสาหกรรมได้ แต่ก็วนกลับมาที่มาตรการเบื้องต้น คือคุณจำเป็นต้องตรวจสอบและมีความแน่ใจแล้วว่าประเภทขยะของคุณนั้นตรงกับที่โรงงานเปิดให้บริการหรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นของเสียอันตราย มีน้อยมากที่จะเปิดให้บริการ แต่ก็เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ

เลือกใช้บริการกับผู้เชี่ยวชาญ ประหยัดต้นทุนได้มากกว่า

โดยส่วนใหญ่การจำกัดของเสียอันตรายจะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียง เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่เพียบร้อมรวมถึงผู้ชำนาญการที่ถูกอบรบมาอย่างดีเพื่อขจัดปัญหาเหล่านี้ แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามนั่นถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ของคุณที่จะต้องรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและทางการเงินสำหรับของเสียเหล่านั้นที่อุตสาหกรรมของคุณสร้างขึ้นมา จนกว่าทุกอย่างจะได้รับการขนส่ง บำบัด หรือกำจัดอย่างเหมาะสมที่สุด

จากทั้งหมดที่กล่าวมา ข้อสังเกตคือขนาดประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริการยังไม่มีโรงงานไหนเลยที่กำจัดขยะอุตสาหกรรมได้ด้วยตัวเอง การเลือกใช้บริการกำจัดของเสียโดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญ นอกจากจะมั่นใจได้ว่าการจัดการของเสียจากอุตสาหกรรมนั้นดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ของรัฐท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง ยังมีบริการที่ช่วยคุณจำแนกของเสียต่าง ๆ ว่าเป็นประเภทใด แม้จะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยแต่ก็ประหยัดต้นทุนได้มากกว่าการที่จะริเริ่มทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด

กำจัดขยะอุตสาหกรรม

ย้อนมองประเทศไทย แนวโน้มการจัดการขยะอุตสาหกรรมในอนาคต

จากที่ได้จั่วหัวเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นของบทความ ปัญหาต้นทุนที่แพงหูฉี่ในการกำจัดขยะอุตสาหกรรมของประเทศไทย แรกเลยมาจากการที่โรงงานกำจัดขยะพิษมีน้อยเกินไป โดยปัจจุบันไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามีมากขนาดไหน แต่จากข้อมูลปี 2016 พบว่ามีโรงงานที่สามารถกำจัดสารพิษได้ทุกประเภทเพียง 4 โรงงานเท่านั้น โดยมี 3 โรงงานที่เป็นประเภทฝังกลบ ส่วนโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เตาเผาเฉพาะเพื่อกำจัดขยะอันตรายมีเพียงแค่ 1 โรงงานถ้วน ด้วยเหตุนี้เองจึงอาจทำให้เกิดการผูกขาดตลาด กำหนดราคาได้ตามใจชอบ เลยเถิดจนถึงปัญหาการลักลอบทิ้งและกำจัดแบบผิดกฎหมาย

แนวโน้มที่จะช่วยแก้ปัญหานี้เบื้องต้นได้ ทุกโรงงานหรือโรงกลึงควรต้องมีการศึกษาและรู้ว่าอุตสาหกรรมของตนเองนั้นผลิตขยะอุตสาหกรรมประเภทใด มีการแยกประเภทให้ถูกต้องอย่างที่ประเทศยักษ์ใหญ่ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างน้อยถ้าช่วยลดกระบวนการก็อาจทำให้ต่อรองราคาได้เบาบางลงบ้าง รวมถึงการเพิ่มนโยบายจากส่วนกลางสร้างโรงงานจำกัดขยะพิษให้มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนถึงการผลักดันเพื่อแก้พระราชบัญญัตโรงงานที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ซึ่งฉบับนี้ค่าปรับสูงสุดอยู่ที่ 200,000 บาทเท่านั้น หากมองจากจุดนี้ การลักลอบทิ้งแล้วโดนจับได้หนึ่งครั้งแล้วต้องเสียค่ายปรับ ดูจะเบาบางกว่าการเลือกใช้บริการกำจัดขยะตลอดทั้งปีเสียอีก

ขอขอบคุณข้อมูลต่าง ๆ ที่นำมาใช้ประกอบบทความมา ณ ที่นี้

https://blog.idrenvironmental.com/how-industrial-waste-disposal-is-managed

https://www.businesswaste.co.uk/industrial-waste-disposal

https://tdri.or.th/2018/08/industrial-waste

ตัวช่วยอุตสาหกรรมการผลิต เลือกใช้ให้เหมาะสม จะ Cobot หรือ Robots ดี?

Cobot

จากบทความก่อนที่เราได้พากันไปเจาะลึกเกี่ยวกับ “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ว่าตอนนี้นั้นมีแบบไหน ประเภทไหน ที่กำลังได้รับความนิยมและถูกใช้งานมากที่สุด ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการพูดถึงอีกหนึ่งเทคโนโลยี “ลูกผสม” อย่าง “Cobot” ว่ามีความน่าสนใจและเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของอุตสาหกรรมการผลิตไม่แพ้กัน ในความแตกต่างเต็มด้วยไปด้วยประโยชน์มากมายที่หลายธุรกิจสามารถนำมาเป็นตัวเลือกเพื่อใช้ในโรงงานผลิตของคุณได้ไม่แพ้กับ Robots (หรือเรียกอีกอย่างว่า หุ่นยนต์อุตสาหกรรม) เลยทีเดียว

ส่วนความแตกต่างของ Cobot กับ Robots นั้นมีอะไรบ้างที่เราควรรู้ เพื่อสุดท้ายแล้วจะได้นำไปประกอบการตัดสินใจสำหรับเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานของคุณ เรารวบรวมข้อมูล รวมถึงจุดสังเกตต่าง ๆ เอาไว้ในเนื้อหาด้านล่างนี้แล้ว เชิญติดตามกันได้เลย

Cobot

Cobot คืออะไร?

Cobot คือ หุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานร่วมกับมนุษย์บนภาคอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่แล้วจะเห็นได้มากในส่วนผลิต ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน ISO 10218-1 รวมถึงมาตรฐานรักษาความปลอดภัยอื่น ๆ โดยคำว่า Cobot ย่อมากจาก “Collaborative Robots” หากดูจากวัตถุประสงค์ที่สร้างขึ้นมาตามคำนิยามของสมาพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ จะเห็นได้ว่ามีความหมายตรงตัวที่ชัดเจน

ลักษณะของ Cobot นั้น ส่วนใหญ่ที่พบเจอได้มากจะเป็นในรูปแบบของแขนกล มีขนาดที่กะทัดรัด ง่ายต่อการใช้งานและเป็นมิตรกับมนุษย์ เพราะการสร้างนั้นคำนึงถึงการทำงานร่วมกันไปจนถึงความปลอดภัยเป็นหลัก 

สิ่งที่ทำให้ Cobot ประสานงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย สืบเนื่องมากจาการติดตั้งเซนเซอร์ที่ล้ำสมัยต่าง ๆ ตลอดจนการตั้งค่าตัวเครื่องเพื่อซัพพอร์ตงานของมนุษย์อยู่แล้ว ก็วนกลับไปอย่างที่บอกไว้ในช่วงต้นว่าสิ่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อมาตรฐานความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นปัจจัยหลักในการมีอยู่ของสิ่งนี้นอกเหนือจากประโยชน์ในงานอุตสาหกรรม

ความแตกที่สำคัญระหว่าง Cobot กับ Robots

สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมีหลายอย่างเหมือนกัน แต่ข้อที่สำคัญและสังเกตได้ง่ายที่สุด กล่าวคือ Cobot นั้นได้รับการออกแบบให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ ส่วนหุ่นยนต์อุตสาหกรรม หรือ Robots นั้นเป็นการทำหน้าที่แทนมนุษย์

ย้อนกลับไปในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย Cobot นั้นสามารถช่วยพนักงานให้อยู่ห่างจากอันตรายได้อย่างมาก รวมถึงงานที่ต้องใช้แรงกำลังในการทำเกินกว่าพลังของมนุษย์ ตลอดจนถึงงานที่เป็นแบบ routine อันแสนน่าเบื่อหน่าย เราก็สามารถให้เทคโนโลยีนี้ช่วยได้เช่นกัน นอกจากจะทำให้อุตสาหกรรมมีความปลอดภัยแล้ว ยังส่งผลให้คุณภาพงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ส่วนเจ้าหุ่นยนต์อุตสาหกรรม Robots จะอยู่ในทิศทางกันตรงข้ามกันเลย สิ่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้กระบวนการผลิตเป็นไปในแบบอัตโนมัติเกือบทั้งหมด เรียกได้ว่าแทบจะปราศจากการร่วมมือของมนุษย์ในกระบวนการผลิต แต่ก็ส่งผลเป็นข้อดีในแง่ของการลดจำนวนทรัพยากรมนุษย์ ทำให้บุคลากรเหล่านั้นใช้เวลาตรงส่วนนี้ไปทำงานที่มีความหมายมากกว่า และอาจรวมถึงลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บในท่วงท่าซ้ำ ๆ เมื่อต้องการทำงานร่วมกับ Cobot อย่างต่อเนื่องเป็นเวล่านาน ซึ่งก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้เช่นกัน

Cobot

Cobot vs Robots สิ่งแตกต่างในความสามารถบนอุตสาหกรรมการผลิต

ยังไม่มีข้อชี้วัดแบบที่ช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจน ไม่มีแบบไหนที่ดีกว่ากัน มีแต่การเลือกใช้งานให้ตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมนั้น ๆ นี่เป็นสิ่งที่ทั้งสองอย่างนี้พร้อมเป็นตัวเลือกให้กับในทุกโรงงานผลิตได้

Cobot สามารถตั้งค่าโปรแกรมต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าหุ่นยนต์อุตสาหกรรม เพราะสามารถเรียนรู้ในงานที่เคยถูกตั้งค่าเอาไว้ได้ด้วย วิธีการหากพูดแบบบ้าน ๆ เลยก็คือพนักงานสามารถจะตั้งค่า Cobot ใหม่ได้แบบง่ายดาย เพียงแค่ขยับแขนหรือชิ้นส่วนที่เราต้องการให้เป็นไป จากนั้น Cobot จะจดจำแล้วทำซ้ำได้ด้วยตัวเอง

ในส่วนของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากจำเป็นต้องใช้วิศวกรผู้ชำนาญการในด้านนั้น ๆ เขียนโค้ดขึ้นใหม่ทั้งหมดสำหรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามต่อกระบวนการที่จะนำไปใช้

แต่ในประโยชน์ของ Cobot ก็มีข้อจำกัดที่ตามมา ด้วยความที่มีขนาดและความจำเป็นที่ต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ สิ่งนี้จึงไม่ตอบโจทย์ในการผลิตจำนวนมาก ๆ ซึ่งข้อนี้เองที่กลายเป็นจุดแข็งแกร่งของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่เรียกได้ว่า “เกิดมาเพื่อสิ่งนี้” ยกตัวอย่างเช่น วงการยานยนต์ที่ในส่วนการผลิตนั้นแทบจะเป็นการใช้หุ่นยนต์เกือบเต็มรูปแบบ มีระบบแยกจุดระหว่างเครื่องจักรกับมนุษย์เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรในโรงงาน

ขณะเดียวกัน หากไม่ใช่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่แบบที่กล่าวไป Cobot จะกลายเป็นคีย์แมนเพราะมีความปลอดภัยเพียงพอสำหรับการทำงานร่วมกับมนุษย์ รวมถึงความสะดวกรวดเร็วในการปรับค่าต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความซับซ้อนสูงบนส่วนของการผลิตนั่นเอง

ด้านผู้ประกอบการของโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตอย่างโรงกลึงพี-วัฒน์เอง ก็อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว เรื่องวิสัยทัศน์ในการติดตามเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อมาปรับใช้ในกระบวนการผลิต และถึงแม้ว่าทั้ง Cobot หรือ Robots ยังจะดูห่างไกลไปซักหน่อยในตอนนี้กับรูปแบบการทำงานในโรงกลึงของเรา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว เรายังคงเปิดรับและพยายามปรับปรุงแก้ไขกระบวนการที่เยิ่นเย้อ ทับซ้อน เพื่อให้คล่องตัวมากขึ้นและสอดคล้องกับการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้อยู่เสมอๆ

Cobot

ทุกความแตกต่างมีข้อดี อยู่ที่การเลือกใช้ให้เหมาะกับอุตสาหกรรม

อย่างที่ย้ำกันมาเสมอตั้งแต่เริ่มเรื่อง ทั้งสองสิ่งนี้เป็นตัวช่วยบูสต์ศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตได้เป็นอย่างดี เพียงแต่มีข้อแตกต่างในเรื่องของสมรรถนะการใช้งาน ความปลอดภัย ตลอดจนต้นทุนของโรงงานผลิตบนอุตสาหกรรมนั้น ๆ ฉะนั้น สิ่งที่ควรต้องคำนึงถึงให้มากที่สุดก่อนเลือกนำเข้าใช้งานกับธุรกิจจำเป็นต้องดูปัจจัยหลาย ๆ อย่างร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังการผลิต ลักษณะงานที่ต้องทำ น้ำหนักของสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ตลอดจนเรื่องของพื้นที่ก็เป็นส่วนที่จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด

ส่วนอีกข้อสำคัญ เราต้องไม่หลงลืมประเด็นว่า Cobot นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อช่วยอุตสาหกรรมลดต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงจากการหลีกเลี่ยงไม่ใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่มีค่าใช้จ่ายแพงกว่า เพราะแต่ละโรงงานนั้นต่างถูกกำหนดมาแล้วด้วยไลน์ของการผลิต หากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ระบบแอบอัตโนมัติทั้งหมดในกระบวนการดังกล่าวยังไงเสียหุ่นยนต์อุตสาหกรรมก็ยังคงมีที่ยืน แต่หากเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ต้องใช้งานแบบเต็มระบบขนาดนั้น การมองความสามารถของ Cobot. ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีไม่แพ้กัน และนี่ก็เป็นสิ่งที่หลาย ๆ ธุรกิจหากคิดเริ่มจะใช้งานเรื่องของหุ่นยนต์ต้องประเมินให้ถี่ถ้วนและรอบคอบที่สุด

ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทำความรู้จัก “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ตัวไหนฮิตสุดในปัจจุบัน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

หากย้อนหลังไปกว่านี้สัก 7-10 ปี การพูดถึง “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ดูจะเป็นเรื่องที่ถูกจำแนกไว้เพียงแค่โรงงานขนาดใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยมายด์เซตก็ดี หรือด้วยข้อเท็จจริงก็ดี การที่โรงงานนึงจะใช้เทคโนโลยีนี้ได้ ถูกมองว่าต้องมีทุนที่หนาไม่น้อย นอกจากจะเป็นเรื่องที่ใหม่แล้ว เรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีความพร้อมรอบด้านเหมือนกับอย่างทุกวันนี้ ทำให้ผู้คนมากมายต่างมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวอยู่พอสมควร

ณ ปัจจุบัน มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก หากเราจะบอกว่า โควิด-19 นั้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เข้ามาบูสเตอร์กับหลายโรงงานให้ได้รู้จักกับเทคโนโลยี และเลือกใช้กับประเภทที่เหมาะกับอุตสาหกรรมของพวกเขามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็วนกลับไปที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นในเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ได้ถูกพัฒนาอย่างรุดหน้าในช่วงที่หลายองค์กร นักพัฒนา ผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ พร้อมใจกันฝ่าวิกฤตการณ์ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ผลพลอยได้ต่าง ๆ นั้นก็ส่งต่อมาถึง “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ในจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะ

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ประเภทของ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม ที่ใช้งานทั่วไปมีอะไรบ้าง ?

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม (Industrial Robot) ถ้าให้พูดกันแบบเร็ว ๆ สิ่งนี้ก็คือหนึ่งในชนิดของเครื่องจักรกลที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานสำหรับกระบวนการต่าง ๆ โดยมีทั้งแบบควบคุมโดยมนุษย์ หรือควบคุมโดยระบบอัตโนมัติ ผ่านการป้อนโปรแกรม มีทุกขนาดตั้งแต่เล็กสุดจนถึงใหญ่สุด ซึ่งในส่วนของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมนั้น จะแบ่งออกเป็นไทป์คร่าว ๆ ก่อนถูกประยุกต์ตามรูปแบบอีกที เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานตามประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมนั้น ๆ

ประเภทของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม

Cartesian Robot

มีอีกหนึ่งชื่อเรียกคือ Linear Robot ซึ่งลักษณะการทำงานนั้นก็แปลตรงตัวกับความหมายเลย หุ่นยนต์ชนิดนี้จะเน้นการคลื่อนที่เป็นเส้นตรงหมดทั้ง 3 แกน เป็นหนึ่งในประเภทที่มีความแข็งแรงเหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้ประสิทธิภาพในการับน้ำหนักสูง แต่ก็ต้องแลกด้วยกับการที่ไม่สามารถใช้งานแบบละเอียดอ่อนได้ รวมถึงใช้พื้นที่ในการติดตั้งมากตามขนาดของหุ่นยนต์

ในอุตสาหกรรม การใช้งาน Cartesian Robot ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการนำไปประยุกต์ใช้ประกอบเข้ากับชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องจักรอีกทีนั่นเอง

Cylindrical Robot

ลักษณะการทำงานนั้นจะคล้ายคลึงกับประเภทก่อนหน้าเลยทีเดียว เพียงแต่ Cylindrical Robot จะเป็นการทำงานแบบหมุนรอบแกน ไม่ได้เป็นแบบเลื่อนเข้าออกเส้นตรงอย่าง Linear Robot

สำหรับหุ่นยนต์ประเภทนี้มักถูกนำไปใช้งานขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ จับยก งานเชื่อม ตลอดจนถึงงานประกอบแบบอื่น ๆ ที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์ที่เน้นการทำงานแบบรวดเร็วเป็นหลัก (ตัวอย่างงานเชื่อมในโรงกลึงพี-วัฒน์ ก็สามารถนำ Cylindrical Robot มาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน)

SCARA Robot

หุ่นยนต์ประเภทนี้มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Selective Compliance Assembly Robot Arm และน่าจะเป็นประเภทที่พบเห็นได้บ่อย ลักษณะการทำงานจะเป็นการเคลื่อนที่แบบหมุน 2 จุด ในส่วนของบริเวณมือจับนั้นเป็นส่วนที่สามารถเคลื่อนที่ในแนวตั้งได้เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งาน

SCARA Robot ถูกใช้งานส่วนใหญ่กับอุตสาหกรรมงานประกอบชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ขนาดเล็ก เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน มีความแม่นยำสูง อาจประยุกต์ใช้กับงานบรรจุภัณฑ์เล็ก ๆ ได้เช่นกัน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม
Polar Robot

ลักษณะการทำงานของหุ่นยนต์ประเภทนี้ที่มีอีกหนึ่งชื่อเรียกว่า Spherical Robot เป็นการทำงานแบบหมุน 2 จุด ในส่วนของตัวฐานและไหล่ของตัวหุ่นยนต์ สำหรับส่วนของมือจับของประเภทนี้สามารถยืดหดได้ จะต่างกับ SCARA ที่เป็นการเคลื่อนไหวแบบแนวดิ่ง

Polar จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับงานประเภทหยิบจับ รวมถึงงานเชื่อมต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วการยืดหดของแขนจับอาจนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่านี้ แต่ด้วยความซับซ้อนดังกล่าวเช่นกันที่ทำให้ยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนัก

Articulated Robot (Jointed Arm)

หุ่นยนต์อุตสาหกรรมประเภทนี้ถูกเรียกแบบเข้าใจตรงกันง่าย ๆ ว่า “Jointed Arm” ลักษณะการใช้งานก็จะเหมือนกับการเคลื่อนไหวของแขนมนุษย์ แม้จะไม่มีความอิสระเท่า แต่ด้วยข้อทั้งหมดที่เคลื่อนไหวแบบจุดหมุน (Revolute) 3 จุดขึ้นไป ซึ่งก็แล้วแต่การออกแบบอาจมีได้มากสูงสุดเป็น 10 จุด หรือตามต้องการความอิสระของลักษณะการใช้งานนั้น ๆ

ด้วยความอิสระดังกล่าวนี้เอง ทำให้ Articulated Robot ถูกนำไปประยุกต์ใช้งานโรงงานอุตสาหกรรมได้หลายรูปแบบ หลายประเภท ทำได้แทบจะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นยกของทั่วไป งานตัด งานเชื่อม แม้กระทั่งงานพ่นสี สิ่งนี้ก็ให้คุณได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญการด้านการใช้หุ่นยนต์ประเภทนี้ เพื่อให้เข้าถึงประสิทธิภาพได้สูงสุด

นอกเหนือจากที่เราได้แนะนำไปแต่ละประเภท ยังมีหุ่นยนต์แบบ Custom ที่สามารถออกแบบได้ตามต้องการเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของโรงงานอุตสาหกรรมนั้น ๆ ตอบโจทย์ที่สุด ซึ่งก็ต้องแลกมากับต้นทุนที่สูงสุดขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องที่แต่ละโรงงานต้องมาคำนวณให้ดีว่าการเข้ามาของสิ่งดังกล่าวจะสามารถพัฒนาสิ่ง ๆ ได้คุ้มกับที่เสียไปหรือไม่

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

แนวโน้มหุ่นยนต์อุสาหกรรมในประเทศไทยและทั่วโลก

แม้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ดูเหมือนว่าแนวโน้มของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมจะได้รับการยอมรับและเริ่มถูกใช้งานมากขึ้นนับแต่เกิดวิกฤต โควิด-19 แต่ก็ยังมีจุดสังเกตหลายประการที่ทำให้สิ่งนี้น่าจะยังเป็นที่แพร่หลายในเร็ววัน ทั้งเรื่องต้นทุนที่ค่อนข้างสูง รวมถึงการใช้งานจำเป็นต้องมีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเป็นผู้ควบคุมดูแล ทำใหั “Cobot” กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมของโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาที่เข้าถึงได้ง่ายหากเทียบกับหุ่นยนต์ การตั้งค่าต่าง ๆ ในปัจจุบันก็พร้อมตอบโจทย์ความต้องการได้ไม่แพ้กัน

ส่วนในเรื่องของ Robot กับ Cobot นั้นมีความเหมือน หรือ แตกต่างกันในด้านไหนบ้าง ไว้เราจะพาไปเจาะลึกกันในโอกาสต่อไป 

แต่สำหรับท่านไหนที่ใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมอยู่แล้ว มีความต้องการในเรื่องของอะไหล่ต่าง ๆ การผลิตชิ้นส่วนเฉพาะ เราโรงกลึงพี-วัฒน์พร้อมดูแลเดินร่วมทางไปด้วยกันกับคุณเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง Robot หรือ Cobot มั่นใจในงานบริการของเราได้แบบ 100 เปอร์เซนต์

Augmented Reality เทคโนโลยีชั้นเซียน บูสเตอร์ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิต

Augmented Reality

หากมีการพูดถึง AR (Augmented Reality) เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนน่าจะนึกถึงแบรนด์ต่าง ๆ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับสินค้าของพวกเขาเอง ถ้ายังนึกภาพตามไม่ออก ให้นึกถึงช่วงนึงเมื่อ 3-4 ปีก่อนที่หลายคนตื่นเต้นกับการเลือกช้อปเฟอร์นิเจอร์ของ IKEA ผ่านแอพพลิเคชั่น 

ซึ่งทางตัวแอพฯ นั้นสามารถให้คุณจำลองสินค้าต่าง ๆ ด้วยโมเดลจำลองที่มีความเสมือนจริง ปฏิวัติวงการตกแต่งบ้านให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซนต์ แต่ก็ช่วยให้คุณได้สัมผัสถึงความจริงเสมือน ซึ่งมันน่าจะโอเคกว่าการจินตนาการภาพเหล่านั้นขึ้นมาในหัวอย่างแน่นอน

แล้วเทคโนโลยีนี้จะเข้ามามีส่วนช่วยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างไร? นี่เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของผู้เขียนเหมือนกันก่อนที่จะค้นคว้าหาข้อมูล แต่พอได้สืบค้นจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ รวมถึงกรณีศึกษาของบริษัทต่างประเทศ ที่เริ่มนำร่องในการนำความสามารถของสิ่งนี้มาใช้ประโยชน์กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของอุตสาหกรรมการผลิต ก็พอจะนึกภาพตามออกได้เป็นฉาก ๆ พร้อมกับความเชื่อมั่นว่าหากพัฒนาจนถึงขีดสุด เทคโนโลยีนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว

Augmented Reality

สั้น ๆ กับ Augmented Reality ก่อนลุยภาคอุตสาหกรรมการผลิต

AR (Augmented Reality) คือ เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การนำโลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือนจริงมาผสมผสานกัน โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการใช้ระบบซอฟต์แวร์ประกอบกับอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและรองรับเทคโนโลยีนี้ และสำหรับวัตถุเสมือนที่กล่าวไปนั้นอาจมาในรูปแบบ ภาพ วิดีโอ เสียง จนไปถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่มาจากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์สวมใส่เฉพาะทาง ซึ่งก็เป็นสะพานเชื่อมโยงให้เราได้ตอบสนองกับสิ่งจำลองนั้นได้แบบเสมือนจริงที่สุด

อุตสาหกรรมการผลิต x AR

ความเจ๋งของ AR แน่นอนล่ะ.. หากเราพูดถึงความสามารถในการนำเสนอคาแรคเตอร์ด้วยรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพดิจิตอล วิดีโอ และอื่น ๆ ที่ดึงเอาความงดงามของความเสมือนจริงรวมกับความเป็นจริงได้อย่างน่าทึ่ง

สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะได้รับประโยชน์สูงสุดคือการแทรกเอาข้อมูล สถิติ จนไปถึงคำแนะนำการใช้งานต่ออุปกรณ์นั้น ๆ ยังไม่นับเรื่องของการใส่ชุดข้อมูลเหล่านี้ไปกับ Headset ที่จะช่วยให้การผลิต การซ่อมบำรุง นั้นทำได้ถูกต้องและง่ายกว่าที่เคย

ตัวอย่างเช่น การใช้ Microsoft HoloLens ซึ่งเป็น Headset ที่ออกแบบด้วยการผสานระหว่างเทคโนโลยีของ Augmented Reality และ Virtual Reality เข้าด้วยกัน ใช้ในการดูชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่รองรับ AR เพื่อแสดงข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเครื่องนั้น ๆ เช่น ประสิทธิภาพการทำงาน เอาต์พุต และอุณหภูมิปัจจุบัน เรียกว่าเป็นการทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นสำหรับการนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้เข้ากับโรงงานผลิต

Augmented Reality
Credit image: microsoft.com, vrfocus.com

AR จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตได้อย่างไร ?

ณ ปัจจุบัน ประโยชน์หลัก ๆ ของการใช้ AR กับโรงงานผลิต จะเกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างให้จินตนาการตามหัวข้อก่อนหน้านี้ เช่น หากชิ้นส่วนของอุปกรณ์การผลิตเสียหาย ช่างเทคนิคสามารถใช้ Headset ดังกล่าว เพื่อตรวจสอบชิ้นส่วนของเครื่องไปพร้อมกันกับการดูข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการซ่อมแซม คำแนะนำ รวมถึงอาจมีรูปภาพประกอบแสดง เพื่อช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

นอกจากการใส่ชุดข้อมูลที่จำเป็นแล้ว เรายังสามารถวางแผน เรียงลำดับ รวมถึงคาดการณ์ระยะเวลาแต่ละขั้นตอน และนี่ไม่ใช่แค่การลดความจำเป็นในการดูแผนภูมิ คู่มือการใช้งาน รวมถึงบุคลาการ สิ่งนี้จะช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 

โดยทั้งหมดทั้งมวล การออกแบบตั้งค่าเทคโนโลยีนี้ในเบื้องต้นเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ แต่หากทุ่มเทในตอนต้นเพียงครั้งเดียวจนเสร็จสิ้น หลังจากนี้ต่อให้เป็นพนักงานที่ไม่มีประสบการณ์ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบก็สามารถดำเนินการซ่อมแซมได้เหมือนกับช่างชำนาญการผ่านการใช้ Headset

เจ๋งไม่เบาเลยทีเดียว โรงกลึงพี-วัฒน์เองก็มีเป้าหมายในอนาคตเพื่อนำเทรนด์กลุ่มธุรกิจโรงกลึงด้วยการเล็งเทคโนโลยี AR นี้มาเป็นส่วนหนึ่งใน Roadmap เช่นกัน

Augmented Reality
Credit image: microsoft.com

คุณค่าสูงสุดของ AR ต่อสายงานผลิต ?

จากข้อมูลได้เราได้รวบรวมมา มีการกล่าวถึงความสำคัญและพื้นที่ที่จะให้ AR นั้นได้แสดงศักยภาพได้เต็มที่อีกหนึ่งจุด นั่นคือการฝึกอบรมพนักงานใหม่ในสายการผลิต เมื่อแต่ละโรงงานมีการรับพนักงานเข้ามาใหม่ การอบรมและการตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานจะสามารถทำตามขั้นตอนของการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ถูกต้องหรือไม่เป็นเรื่องที่ยาก และความไม่แน่นอนนี้สิ่งที่ตามมาคือปัญหาด้านความปลอดภัย 

จะเป็นเรื่องดีแค่ไหนหากพนักงานสามารถใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ตามคำแนะของ AR ด้วยเทคโนโลยนี้สามารถให้ข้อมูลเครื่องจักรโดยอัตโนมัติแบบครบถ้วน แม้ไม่เคยใช้งานมาก่อนก็จะช่วยให้ทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

Augmented Reality

อีกหนึ่งกรณีศึกษา ความล้ำหน้าของ AR ต่ออุตสาหกรรม

Augmented Reality
Credit image: microsoft.com

ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก หากคุณต้องเจอกับอุปกรณ์เฉพาะที่มีความซับซ้อนซึ่งอาจต้องใช้บุคลากรที่มีประสบการณ์เพียงอย่างเดียวสำหรับใช้งานสิ่งนั้น ในกรณีนี้เองที่ AR จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้คนที่อยู่หน้างานสามารถดำเนินการได้ทันที โดยมีอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของเรื่องนี้

ลองนึกภาพตามว่าหากหุ่นยนต์หกแกนทำงานผิดปกติ แต่ ณ จุดนั้นไม่มีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในการแก้ไข การใช้ Headset จะช่วยพนักงานได้อย่างมาก เพราะนอกเหนือจากข้อมูลที่มี คุณยังสามารถรับคำแนะนจากผู้เชี่ยวชาญได้แบบเรียลไทม์ ตลอดจนถึงการใช้เพื่อเป็นแบบฝึกอบรมบุคลากร ดึงศักยภาพของพวกเขาด้วยเทคโนโลยีนี้ได้อีกด้วย

และหากคิดว่าการใช้อุปกรณ์ Headset ดังกล่าวนั้นจะเป็นการสร้างต้นทุนมากจนเกินไป หรือไม่เหมาะกับขนาดของธุรกิจของคุณ การออกแบบเพื่อใช้ในอุปกรณ์ที่มีอยู่ในตลาดอย่าง สมาร์ทโฟน แท็บเลต หรือแว่นตาระบบดิจิตอล ก็เป็นทางเลือกที่ดีและเหมาะสมอย่างยิ่ง

ขอขอบคุณข้อมูลประกอบบทความจาก : https://www.reliableplant.com/Read/31709/ar-improve-manufacturing