รถ EV คือ อะไร ? เตรียมตัวอย่างไร หากคุณอยากใช้ รถยนต์ไฟฟ้า

รถ EV คือ

รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่เราต่างคุ้นเคยกันในชื่อ EV (Electric Vehicle) เทคโนโลยีเปลี่ยนโลที่เข้ามาสั่นสะเทือนทุกวงการในเชนอุตสาหกรรม โรงกลึง พีวัฒน์เองก็เกาะติดเทคโนโลยีนี้มาตลอดเช่นกัน และเพื่อไม่ให้ตกขบวน วันนี้เราจะพากันไปทำความรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับเจ้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าคนส่วนใหญ่จะหันมาเลือกใช้ รถ EV กันเพิ่มมากขึ้น เพราะมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างมลพิษ และยังช่วยประหยัดพลังงาน รวมไปถึงมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่น้อยกว่ารถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปอีกด้วย ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จัก “รถ EV คือ อะไร” “มีกี่ประเภท” และหากต้องการซื้อรถ EV มาใช้งานควรมีการ “เตรียมตัวในเรื่องไหนบ้าง”

รถ EV คือ
Image by Freepik

นวัตกรรมรถแห่งโลกอนาคต รถ EV คือ อะไร

รถ EV คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาขับเคลื่อนแทนการใช้น้ำมัน และไม่ต้องใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือใช้เชื้อเพลิงภายนอก ซึ่งในส่วนของระบบไฟฟ้านั้นจะมีการเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ที่ชาร์จได้ จากนั้นระบบไฟฟ้าจะทำการแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่ที่เก็บไว้ออกมาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ และเนื่องด้วยรถ EV ไม่มีระบบกลไกในการทำงานที่ซับซ้อนเหมือนรถยนต์น้ำมัน จึงทำให้เครื่องยนต์นั้นเงียบ ไม่มีไอเสียช่วยลดมลภาวะเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากเลยทีเดียว รวมไปถึงการดูแลรักษาก็ทำได้ง่ายมากๆ อีกด้วย และนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รถ EV นั้นกำลังมาแรงและมีแนวโน้มที่จะมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ไขข้อข้องใจรถ EV มีกี่ประเภท

ในปัจจุบันนี้รถ EV มีการแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามระดับของเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งในแต่ละระดับของเทคโนโลยีนั้น จะมีการแบ่งประเภทออกดังนี้

  1. รถยนต์ไฮบริด Hybrid Electric Vehicle หรือ HEV : รถยนต์ประเภทนี้จะมีการทำงานขับเคลื่อนร่วมกันระหว่าง เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟได้ การทำงานระบบนี้จะเปลี่ยนจากพลังงานจลน์ของเครื่องยนต์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วถูกนำมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ จึงทำให้รถ EV ประเภทนี้มีอัตราการใช้เชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าเครื่องรถยนต์ระบบเดียว
  2. รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ PHEV : รถยนต์ประเภทนี้จะมีระบบการทำงานคล้ายๆ กับรถยนต์ไฮบริด แต่จะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างก็คือ จะสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ และในขณะที่ชาร์จไฟรถก็ยังสามารถวิ่งในระยะทางที่ไกลกว่าระบบไฮบริด อีกทั้งยังสามารถเก็บประจุไฟเพิ่มได้ตามที่ต้องการอีกด้วย และถ้าหากแบตเตอรี่หมดลงระบบก็จะมีการทำงานเหมือนกับรถยนต์ไฮบริด
  3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ Battery Electric Vehicle หรือ BEV : รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะมีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน และต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับระยะทางการวิ่งก็มีข้อจำกัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่และเส้นทางที่ใช้เดินทางด้วย
  4. รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง Fuel Cell Electric Vehicle หรือ FCEV : รถยนต์ประเภทนี้จะมีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ แต่จะมีความแตกต่างตรงที่ รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะใช้เซลล์เชื้อเพลิงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า จึงช่วยลดมลพิษได้เป็นอย่างดี
รถ EV คือ
Image by Freepik

มือใหม่หัดขับ มีวิธีการเตรียมตัวก่อนซื้อรถ EV อย่างไร

การเลือกซื้อ รถ EV นั้น นอกจากจะต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเภทของรถ EV การใช้งาน หรือการดูแลรักษาแล้ว ก็ยังต้องคำนึงอีกหลายเรื่องดังนี้

  • ระยะทางการใช้งานที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะมีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงทำให้ระยะเวลาในการใช้งานค่อนข้างจำกัด ดังนั้นการเลือกซื้อจึงจำเป็นต้องดูความจุของแบตเตอรี่ว่าการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งในระยะทางสูงสุดที่เท่าไหร่
  • ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จจากในบ้าน หรือตามสถานีชาร์จก็ตาม ควรพิจารณาว่าการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเดินทางได้ไกลเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากชาร์จแบตเตอรี่ในบ้าน หรือที่พักอาศัยจะมีระยะเวลาในการชาร์จที่นานกว่าการชาร์จตามสถานี
  • การติดตั้ง EV Charger ในที่พักอาศัย ควรพิจารณาในเรื่องของขนาดมิเตอร์ว่าสามารถรองรับกำลังไฟสูงสุดได้เท่าไหร่ ทั้งนี้อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของเครื่องวัดให้เป็นแบบ TOU ควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น
  • งบประมาณที่ต้องใช้ในเรื่องต่างๆ เช่น ค่าประกัน ค่าภาษี ค่าตรวจสภาพ ค่าบำรุงรักษา หรือค่าไฟฟ้าที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน ควรคำนึงถึงงบที่มีในกระเป๋าด้วยว่าเพียงพอ หรือมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากน้อยเพียงใด
  • พิจารณาเลือกซื้อรถ EV กับแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในส่วนของบริการหลังการขาย เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าในประเทศไทยนั้น การใช้รถ EV เป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ หากตัดสินใจเลือกซื้อกับแบรนด์ที่เชื่อถือได้ก็จะได้รับความสะดวก สบาย สามารถใช้งานรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รถที่จะเปลี่ยนโลกมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น

มาถึงตรงนี้ทุกคนคงเข้าใจดีแล้วว่ารถ EV คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งนำมาขับเคลื่อนแทนการใช้เชื้อเพลิงภายใน ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังลดมลภาวะเพราะไม่มีไอเสียจากการเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิง รวมไปถึงเครื่องยนต์เงียบไม่มีเสียงดังรวบกวนอีกด้วย สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเลือกซื้อรถ EV ควรคำนึงในเรื่องต่างๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง EV Charger หรืองบประมาณใช้จ่าย รวมไปถึงระยะเส้นทาง และข้อจำกัดในการใช้งาน ข้อสำคัญเลยก็คือ ควรพิจารณาเลือกซื้อกับแบรนด์ที่เชื่อถือได้ จึงจะทำให้สามารถใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 

รถ EV คือ
Image by freepik

รวมวิธี ประหยัดพลังงาน ในออฟฟิศ ทำได้ไม่ยาก คนละไม้ คนละมือ

ประหยัดพลังงาน

ออฟฟิศเป็นสถานที่รวมตัวของคนวัยทำงาน และแน่นอนว่าการทำงานในออฟฟิศย่อมมีการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิด ที่ส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งตามมาด้วยค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้น หนีไม่พ้น.. ว่าผลที่ตามมาคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมในแง่ลบอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย ถ้าคุณที่เป็นเจ้าของโรงงาน โรงกลึง เจ้าของกิจการ หัวหน้างาน หรือแม้แต่พนักงานเองก็ตาม ซึ่งใครก็ได้ที่ตระหนักในเรื่องของการลดโลกร้อน การช่วยกัน ประหยัดพลังงาน มีใจสาณารณะที่อยากจะช่วยโลกให้น่าอยู่มากขึ้น การมาช่วยกันรณรงค์เพื่อการประหยัดพลังงานในออฟฟิศ หรือในที่ทำงาน นับเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ ที่จะช่วยดูแลโลกของเราให้น่าอยู่มากขึ้น

และบทความนี้จะนำเสนอวิธีการประหยัดพลังงาน ซึ่งหากคุณเป็นเจ้าของกิจการหรือคนที่กำหนดนโยบายของบริษัทได้ คุณก็อาจจะนำไอเดียไปต่อยอดให้สอดคล้องกับนโยบายบริษัท แต่หากคุณเป็นพนักงาน คุณเองก็ช่วยเหลือได้ในจุดเล็ก ๆ คนละไม้คนละมือ เพื่อโลกของเรา

ประหยัดพลังงาน
Image by rawpixel.com on Freepik

7 วิธี ประหยัดพลังงาน ในออฟฟิศ เซฟค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

วิธีที่จะแนะนำเกี่ยวกับ ประหยัดพลังงาน จะเป็นวิธีที่เหมาะที่จะใช้ในออฟฟิศเป็นอย่างมาก และเชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนอาจจะปล่อยปละละเลย หรือนึกไม่ถึงว่าสามารถทำตามวิธีเหล่านี้ได้ด้วย หรือหากใครที่ใช้กับที่บ้านเป็นประจำก็สามารถนำมาปรับใช้กับที่ออฟฟิศได้ เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาตามไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าว่า 7 วิธีในการประหยัดหลังงานหรือค่าไฟในออฟฟิศสามารถทำได้อย่างไรบ้าง

1. ปิดสวิทซ์ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าหลังการใช้งาน

การปิดสวิทซ์และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าหลังการใช้งานทุกประเภทจะเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการเปิดสวิทซ์หรือถอดปลั๊กไว้ตลอดเวลาก็เท่ากับว่าคุณกำลังใช้ไฟอยู่ ค่าไฟก็จะพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ที่ต่อให้แม้จะปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วก็ตาม ถึงจะ ประหยัดพลังงาน ได้บ้าง แต่ไม่สามารถปิดการใช้งานได้ทั้งหมดนั่นเอง

ประหยัดพลังงาน
Image by Freepik

2. ใช้หลอดไฟ LED ในการให้ความสว่าง

การเลือกใช้หลอดไฟ LED ที่มีความสว่างแบบแสงสีขาว จะสามารถให้ความสว่างได้มากกว่าปกติกว่าหลอดไฟชนิดอื่นๆ ที่สำคัญตัวหลอดไฟยังผลิตมาเพื่อประหยัดพลังงานโดยเฉพาะ ดังนั้นออฟฟิศของคุณหากต้องการประหยัดค่าไฟที่สามารถประหยัดได้มาก การเลือกใช้หลอดไฟชนิดนี้เป็นคำตอบที่ดีที่สุด ในส่วนของด้านความปลอดภัยหรือการพังเสียหายมีโอกาสน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับหลอดไฟชนิดอื่น ๆ

3. เดินขึ้น – ลงบันได้ 1-2 ชั้น แทนการใช้ลิฟต์

การขึ้นลงบันได 1 – 2 ชั้น แทนการใช้ลิฟต์ก็สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะลิฟต์จะมีฟังก์ชันการใช้งานส่วนใหญ่คือกดใช้งานหนึ่งครั้งก็ค่าไฟสามารถขึ้นได้ 1 ที และระหว่างที่ไม่มีใครใช้งานตัวลิฟต์ก็จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานได้ ดังนั้นการขึ้นลงเพียงชั้นเดียวและทำบ่อย ๆ จะทำให้ค่าไฟสูงขึ้นมาก ดังนั้นการเดินขึ้นลงบันไดแทนจึงเป็นทางออกที่ดี

4. ปรับแอร์ที่อุณหภูมิ 25 – 26 องศา 

การปรับแอร์ที่อุณหภูมิ 25 – 26 องศา ตามคำแนะนำของกรมไฟฟ้าจะสามารถประหยัดพลังงาน หรือประหยัดพลังงานได้จำนวนมหาศาล และถ้าออฟฟิศของคุณต้องการควบคุมอุณหภูมิที่สามารถเหมาะกับคนหลาย ๆ คนได้ คือไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป การเลือกปรับแอร์ที่อุณหภูมิที่ 25 – 26 องศา ถือว่าเป็นอะไรที่ดีที่สุด เพราะบางคนหากปรับแอร์ที่อุณหภูมิที่ 22 – 23 องศาก็จะเริ่มหนาวแล้วนั่นเอง

5. ทุกพักเที่ยง ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ

ทุกพักเที่ยงปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ เพื่อเป็นการพักการใช้งานไม่ให้ทำงานหนักเกินไป ไม่ว่ะจะเป็นไฟในที่ทำงาน แอร์ในที่ทำงาน คอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน เป็นต้น เพราะถ้าหากเปิดต่อเนื่องจะยิ่งทำให้ค่าไฟสูงมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักมากขึ้น ซึ่งอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้อาจจะลดลงได้ ดังนั้นเมื่อพักเที่ยงอย่างน้อยก็ควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าสัก 1 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเวลาที่กำลังดีในการพัก

6. เข้างานตรงเวลา – เลิกงานตรงเวลา

ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่าการเข้างานตรงเวลา – เลิกงานตรงเวลาจะสามารถประหยัดพลังงานได้อย่างไร ต้องบอกเลยว่าสามารถประหยัดพลังงานได้มหาศาล เพราะการเข้างานตรงเวลาเท่ากับว่าเราจะเปิดแอร์ เปิดไฟ เปิดคอมพิวเตอร์ในเวลาเริ่มงานพร้อม ๆ กัน ก็คือมีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และเมื่อถึงเวลาเลิกงานก็ปิดพร้อม ๆ กัน ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟ ลองนึกภาพถ้าหากบริษัทมีการทำล่วงเวลาไฟก็ต้องเปิด แอร์ก็ต้องเปิดเพื่อคนไม่กี่คน ทำให้ค่าไฟสูงขึ้นมาได้นั่นเอง

ประหยัดพลังงาน
Image by Freepik

7. เคลียร์ของในตู้เย็นออกสม่ำเสมอ

บางออฟฟิศจะมีตู้เย็นให้พนักงานแช่ของไว้ทาน ซึ่งส่วนมากพนักงานก็มักจะเอาของมาแช่สุดท้ายแล้วลืมทานจนเน่าไปเลยก็มี และก็จะเอาของใหม่ ๆ เข้าแทรกเรื่อย ๆ ยิ่งของแน่นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก จนส่งผลให้ค่าไฟพุ่งได้อย่างไม่รู้ตัว วิธีการแก้คือให้เขียนชื่อเจ้าของของในตู้เย็น พอถึงวันหมดอายุก็ให้เคลียร์ออก ทำแบบนี้เรื่อยๆ ตู้เย็นก็จะไม่แน่นจนเกินไป และจะสามารถ ประหยัดพลังงาน

เริ่มต้นวันนี้ ช่วยโลกวันหน้า ทำได้ง่าย ๆ ให้เป็นนิสัย

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้หวังว่าทุก ๆ คนคงจะได้วิธีประหยัดพลังงานในออฟฟิศนำกลับไปใช้ ซึ่งบอกว่าทำได้ง่ายมาก ๆ เพียงแต่ต้องทำเป็นนิสัย ทำให้สม่ำเสมอ ก็จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีในการประหยัดพลังงานได้อย่างแน่นอน ซึ่งในจุดนี้สามารถเริ่มต้นได้จากระดับองค์กรเป็นแกนหลัก นำส่งแนวคิดสู่ผู้นำมาตลอดพนักงานที่ทำงานอยู่ในองค์กร เพื่อสร้างให้เป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำในทุกวันก็จะสามารถรักษ์โลกได้ในอนาคตไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

Cover Image : Image by Freepik

สุดยอดนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ CNC ชั้นเลิศ ที่เปลี่ยนโลกนี้ไปตลอดกาล

ผลิตภัณฑ์ CNC

โลกของเราเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมาย แต่มีบางอย่างที่คว้ารางวัล “สุดยอดแห่งความล้ำหน้า” ไปครองได้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือผลิตภัณฑ์ CNC ที่ผ่านการ “กลึง CNC” เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ที่โรงกลึงล้ำสมัยนิยมใช้ เพราะมีความแม่นยำระดับไมครอน และความซับซ้อนไร้ขีดจำกัด ผลลัพธ์ที่ได้คือชิ้นงานประณีต เหนียวแน่น ทนทาน และเต็มไปด้วยศักยภาพ เกินกว่าที่งานฝีมือแบบเดิมจะเอื้อมถึง มาดูกันดีกว่าว่า มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่ครองตำแหน่ง “สุดยอดแห่งโลก” ด้วยเทคโนโลยีการกลึงงานแบบ CNC

ผลิตภัณฑ์ CNC
Image by wirestock on Freepik

TOP 5 สุดยอด ผลิตภัณฑ์ CNC เทคโนโลยีสุดล้ำ

1. เครื่องยนต์อากาศยาน: หัวใจแห่งการทะยานฟ้า

เครื่องยนต์เครื่องบินเจ็ท หัวใจแห่งการพาเราท่องนภา ผลิตชิ้นส่วนสำคัญด้วยการกลึงงานแบบ CNC อย่างใบพัดคอมเพรสเซอร์ ผลิตจากโลหะผสมพิเศษ ทนทานต่ออุณหภูมิสูง ความแม่นยามระดับไมครอน ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และพาคุณไปถึงปลายทางอย่างราบรื่น

2. โปรตีนสังเคราะห์: อาหารแห่งอนาคต

เนื้อสัตว์เทียมที่ผลิตโดยเทคโนโลยี Bioprinting ใช้การกลึงงานแบบ CNC ในการสร้างหัวพิมพ์ 3 มิติ ความละเอียดสูง สามารถพิมพ์เนื้อสัตว์เทียมทุกรชั้น เนื้อสัมผัส สีสัน และรสชาติ เหมือนจริงเป๊ะ บอกลาปัญหาการเลี้ยงสัตว์ สร้างความมั่นคงทางอาหาร และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

3. อุปกรณ์การแพทย์: จุดประกายแห่งชีวิต

หัวใจเทียม ข้อเข่าเทียม และอุปกรณ์การแพทย์ขั้นสูง ผลิตด้วยงาน CNC ด้วยความแม่นยำสูงสุด ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ช่วยคืนความคล่องตัวและคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย เทคโนโลยีนี้เป็นความหวังของวงการแพทย์ ช่วยให้เราอยู่กับคนที่เรารักได้นานขึ้น

4. โทรศัพท์มือถือ: สมองกลในมือคุณ

สมาร์ทโฟนรุ่นท็อป ผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างเฟรม และกล้องเลนส์ ด้วยงาน CNC ความแข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา และความแม่นยำระดับนาโน ทำให้กล้องถ่ายภาพคมชัดเหนือจินตนาการ โครงสร้างแข็งแรง รับแรงกระแทกได้ดี สมาร์ทโฟนกลายเป็นมากกว่าแค่เครื่องมือสื่อสาร เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว

5. กล้องโทรทรรศน์: ส่องทะลุจักรวาล

กระจกเลนส์ของกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ ผลิตด้วยงาน CNC ขั้นเทพ ผิวเลนส์เรียบเนียนไร้ที่ติ ช่วยรับแสงจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้อย่างแม่นยำ เปิดโลกแห่งจักรวาลให้มนุษยชาติ ศึกษาความลับของท้องฟ้า ไขปริศนาของการกำเนิด

ผลิตภัณฑ์ CNC
Image by Freepik

เทคโยโลยีการกลึงงานแบบ CNC ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีการผลิตในโรงกลึงเท่านั้น แต่เป็นตัวขับเคลื่อนความก้าวหน้าของโลก ผลิตภัณฑ์ CNC ที่ผ่านการกลึงแบบ CNC ล้วนเป็นสุดยอดนวัตกรรม เปลี่ยนโลกใบนี้ให้ล้ำหน้า สะดวกสบาย และปลอดภัยมากขึ้น เทคโนโลยีนี้คืออนาคต และเราจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกมากมาย ที่เกิดขึ้นจากการผสานศาสตร์ของกลึงงาน CNC กับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ

ผลิตภัณฑ์ CNC อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

  • นาฬิกาหรู: ชิ้นส่วนสำคัญอย่างเฟืองและโครงเครื่อง ผลิตด้วยกลึง CNC ความแม่นยำสูง เสียงเงียบกริบ ทนทาน ไขลานได้ยาวนาน (Luxury Watches: Gears and movement components)
  • เครื่องมือช่างคุณภาพสูง: สว่าน ขอบเลื่อย หัวกัด ผลิตด้วยกลึง CNC เพื่อความแข็งแรง คมกริบ แม่นยำ ช่วยให้ช่างทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (High-Precision Tools: Drills, saw blades, milling cutters)
  • รถยนต์สมัยใหม่: ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ตัวถัง และอุปกรณ์ควบคุม ผลิตด้วยกลึง CNC ช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มความแข็งแรง ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยยิ่งขึ้น (Modern Cars: Engine components, chassis parts, control systems)
  • เครื่องดนตรีระดับมืออาชีพ: ชิ้นส่วนสำคัญอย่างคันโยก สายกีตาร์ และท่อลม ผลิตด้วยกลึง CNC เพื่อความเที่ยงตรง เสียงที่ไพเราะ และความทนทาน (Professional Musical Instruments: Levers, guitar strings, wind instrument tubes)
  • โดรนสำรวจ: โครงสร้าง โมเตอร์ และกล้อง ผลิตด้วยกลึง CNC น้ำหนักเบา บินได้คล่องแคล่ว บันทึกภาพและข้อมูลได้อย่างแม่นยำ (Survey Drones: Frame, motors, cameras)
  • หุ่นยนต์อุตสาหกรรม: ข้อต่อ แขนกล และเซ็นเซอร์ ผลิตด้วยกลึง CNC เพื่อความแข็งแรง ยืดหยุ่น และแม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Industrial Robots: Joints, robotic arms, sensors)
  • เครื่องประดับหรู: ตัวเรือน อัญมณี และลวดลาย ผลิตด้วยกลึง CNC ความละเอียดสูง สร้างสรรค์ลวดลายซับซ้อน ประณีต บ่งบอกความหรูหรา (Luxury Jewelry: Setting, gemstones, intricate designs)

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ผลิตด้วยกลึงงาน CNC เทคโนโลยีนี้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ก้าวหน้าและน่าทึ่งยิ่งขึ้น!

ผลิตภัณฑ์ CNC
Image by pressfoto on Freepik

เทรนด์แรง! อนาคตของผลิตภัณฑ์ CNC ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด

โลกของการผลิตกำลังหมุนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ๆ ผุดขึ้นไม่หยุด โดยเฉพาะ “เครื่องจักร CNC” (CNC Machining) ที่ไม่ใช่แค่เครื่องกลึงธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการสร้างสรรค์ชิ้นงานสุดล้ำและแม่นยำ วันนี้เราจะพาคุณไปเจาะเทรนด์ของผลิตภัณฑ์ CNC ในอนาคตอันใกล้ที่น่าจับตามอง มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้างที่เปลี่ยนโฉมวงการผลิตอีกครั้ง!

  • ผลิตภัณฑ์ “High-Mix, Low-Volume” ตอบสนองความหลากหลาย ในยุคที่ความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายและรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ CNC จะเน้นไปที่การผลิตแบบ “High-Mix, Low-Volume” คือ ผลิตชิ้นงานหลายแบบ จำนวนน้อย ตอบโจทย์การสั่งซื้อแบบเฉพาะบุคคล (Customization) มากขึ้น เครื่องจักร CNC รุ่นใหม่จะยิ่งยืดหยุ่น ปรับตั้งค่ารวดเร็ว ผลิตชิ้นงานได้หลากหลาย ตัดปัญหาสต็อกสินค้าล้นเหลือ
  • เครื่องจักร CNC อเนกประสงค์: จบครบในเครื่องเดียว จากเดิมที่เครื่องจักร CNC มักทำหน้าที่เฉพาะเจาะจง อนาคตเราจะได้เห็นเครื่องจักร CNC อเนกประสงค์มากขึ้น สามารถทำได้หลายขั้นตอนในเครื่องเดียว เช่น เจาะ กลึง ตัด เลเซอร์ เชื่อม ปรับเปลี่ยนหัวกัดและอุปกรณ์ได้สะดวก ลดเวลาการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน
  • ระบบอัตโนมัติ CNC: ผลิตอัจฉริยะไร้คนควบคุม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบควบคุมอัตโนมัติจะเข้ามาผสานกับเครื่องจักร CNC อย่างลงตัว ทำให้การผลิตเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ไร้คนควบคุม ตรวจสอบความผิดพลาดได้เอง เพิ่มความแม่นยำ ลดค่าแรง และทำงานได้ 24/7
  • ซอฟต์แวร์วางแผนและจัดการผลิต: ควบคุมทุกขั้นตอน ซอฟต์แวร์วางแผนและจัดการทรัพยากร (ERP) จะกลายเป็นหัวใจสำคัญ เชื่อมโยงข้อมูลตั้งแต่การสั่งซื้อ การออกแบบ การผลิต จนถึงการจัดส่ง ทำให้ควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสีย วางแผนการผลิตได้ล่วงหน้า และบริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาด
  • เทรนด์เฉพาะทาง: ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี CNC จะถูกนำไปใช้ในวงการแพทย์มากขึ้น ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ อวัยวะเทียม และชิ้นส่วนปลูกถ่าย ด้วยความแม่นยำระดับไมครอน และวัสดุที่ปลอดภัยต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีแนวโน้มในการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบยั่งยืน ลดการใช้พลาสติก ตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่
  • การเข้าถึงเครื่องจักร CNC ง่ายขึ้น: เทรนด์ Maker Space ไม่ใช่แค่โรงงานอุตสาหกรรมอีกต่อไป เครื่องจักร CNC จะเข้าถึงผู้คนทั่วไปมากขึ้นผ่าน Maker Space สถานที่ให้เช่าเครื่องมือและฝึกอบรมการผลิตแบบ CNC ส่งเสริมผู้ประกอบการรายเล็ก Startup และงาน DIY สร้างสรรค์ชิ้นงานชิ้นเดียวในโลกได้อย่างง่ายดาย

เทรนด์ผลิตภัณฑ์ CNC ในอนาคตชี้ให้เห็นถึงความยืดหยุ่น การผลิตอัจฉริยะ การตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล และการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยี CNC ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่เป็นกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกศักยภาพของการผลิตยุคใหม่

Cover Image : Image by wirestock on Freepik

การแยกขยะ และการรีไซเคิล: เรื่องน่ารู้ในโรงกลึง และโรงงานอุตสาหกรรม

การแยกขยะ

การแยกขยะ และการรีไซเคิลเป็นเรื่องที่กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่เพียงเพราะเราต้องดูแลสิ่งแวดล้อมและลดปริมาณขยะที่สิ่งมีมูลค่าถูกทิ้งไป แต่ยังเพราะมันเป็นวิธีที่สามารถสร้างรายได้และโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรม ในบทความนี้เราจะสำรวจแนวคิดพื้นฐานของการแยกขยะและการรีไซเคิลในอุตสาหกรรม พร้อมกับประโยชน์ที่มันเสนอและแนวทางในการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ในแวดวงนี้โดยใช้คีย์เวิร์ด “การแยกขยะ

การแยกขยะ คือขั้นตอนแรกสู่การรีไซเคิล

การแยกขยะคือกระบวนการที่ครบครันในการทำลายขยะอินทรีย์และอินทรีย์จากขยะสำหรับแปลงกล้วยอุตสาหกรรม ประสิทธิภาพของขั้นตอนนี้ส่งผลต่อการรีไซเคิลในภายหลัง เนื่องจากขยะที่ไม่ถูกแยกและทำลายอาจสร้างปัญหาและสร้างมลพิษสิ่งแวดล้อม การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเช่นเครื่องบดขยะและการแยกขยะอัตโนมัติมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้

การรีไซเคิล หรือ การนำขยะกลับมาใช้ใหม่

การรีไซเคิลเป็นกระบวนการที่ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่ และลดปริมาณขยะที่เขามือทิ้งลงในบ่อขยะ การรีไซเคิลรวมถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตใหม่และการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบอื่น เช่นการแปลงขยะพลาสติกให้กลายเป็นเศษสำหรับการผลิตเสื้อผ้าหรือสินค้าอื่น ๆ การรีไซเคิลช่วยลดการใช้วัสดุใหม่ที่มีค่าเพื่อสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่มุ่งเสริมการใช้งานสินค้ารีไซเคิล

ประโยชน์ของ การแยกขยะ และการรีไซเคิล

การแยกขยะและการรีไซเคิลมีประโยชน์มากมายทั้งทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมได้รับประโยชน์จากลดปริมาณขยะที่สิ่งมีมูลค่าถูกทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมและลดการใช้วัสดุใหม่ ซึ่งมีผลทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการใช้พลาสติกใหม่ช่วยลดการสร้างมลพิษในมหาสมุทรและพื้นผิวที่ตายเนื่องจากขยะพลาสติก

ในด้านเศรษฐกิจ การแยกขยะและการรีไซเคิลสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้และงานทำให้กับผู้คน การขายวัสดุรีไซเคิล ช่วยสร้างความยั่งยืนในธุรกิจและส่งเสริมอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น. นี่คือบางประโยชน์หลักของการแยกขยะและการรีไซเคิล

การแยกขยะ
Image by jcomp on Freepik

ลดปริมาณขยะ

การแยกขยะลดปริมาณขยะที่สิ่งมีมูลค่าถูกทิ้งไปในแหล่งกำบัติขยะ ทำให้ลดปริมาณขยะในบ่อขยะและลดการสิ้นสุดสิ่งมีมูลค่าทั้งกายภายในแวดวงรอบของเรา

อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การใช้วัสดุรีไซเคิลช่วยลดการใช้วัสดุใหม่ที่มีค่าเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดใช้กระบอกพลาสติกใหม่ลดการเปิดเผยสิ่งมีมูลค่าที่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

สร้างรายได้และงานทำ

การแยกขยะและการรีไซเคิลสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรม โรงงานการแยกขยะและโรงงานรีไซเคิลสร้างงานทำให้กับคนในชุมชนและสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น

ลดการมลพิษสิ่งแวดล้อม

การลดการใช้วัสดุใหม่และการรีไซเคิลช่วยลดการสร้างมลพิษในสิ่งแวดล้อม เช่น ลดปลิงมลพิษจากการผลิตวัสดุใหม่ และลดปริมาณขยะที่สิ่งมีมูลค่าถูกทิ้งไปในแวดวงรอบขอบ

สร้างการรับรองจากผู้บริโภค

ผู้บริโภคกลับมาให้ความสำคัญกับสินค้ารีไซเคิลและสินค้าที่ผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล การสนับสนุนการรีไซเคิลช่วยสร้างตลาดสำหรับสินค้านี้และส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรม

โอกาสทางธุรกิจ

เปิดโอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมการแยกขยะและการรีไซเคิลมีหลายทางเลือกที่อาจนำไปสู่ความสำเร็จ

  • สร้างโรงงานการแยกขยะ การลงทุนในการสร้างโรงงานการแยกขยะเป็นทางเลือกที่มีความศักยภาพในการสร้างรายได้และสร้างงานทำใหม่ โรงงานนี้สามารถแยกขยะและจำหน่ายวัสดุรีไซเคิลให้กับผู้ผลิต
  • สนับสนุนการรีไซเคิล การสนับสนุนการรีไซเคิลโดยการผลิตสินค้ารีไซเคิลหรือสินค้าที่ผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล เป็นทางเลือกที่ดีในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่
  • ใช้เทคโนโลยีในการแยกขยะ การใช้เทคโนโลยีในการแยกขยะอัตโนมัติช่วยนอกจากจะช่วย ลดโลกร้อน แล้วยังช่วยลดความขัดแย้ง และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการแยกขยะ การลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการเริ่มธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้

การแยกขยะ ช่วยโลก ช่วยคนที่คุณรัก

การแยกขยะ และการรีไซเคิลเป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับการลดปริมาณขยะที่สิ่งมีมูลค่าถูกทิ้งและสนับสนุนความยั่งยืนในอุตสาหกรรม. การลงทุนในโรงงานการแยกขยะ, การสนับสนุนการรีไซเคิล, และการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการแยกขยะเป็นวิธีที่ดีในการเปิดโอกาสทางธุรกิจในแวดวงนี้. นอกจากนี้, การรีไซเคิลช่วยลดการใช้วัสดุใหม่ที่มีค่าเพื่อสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่มุ่งเสริมการใช้งานสินค้ารีไซเคิล

การแยกขยะและการรีไซเคิลไม่เพียงเพียงช่วยสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และงานทำใหม่ในอุตสาหกรรม การรับรองจากผู้บริโภคสามารถสนับสนุนการพัฒนาของอุตสาหกรรมนี้และทำให้โลกของเรากลับมายั่งยืนมากขึ้น อุตสาหกรรมการแยกขยะและการรีไซเคิลเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างปีที่ผ่านมาและกำลังเป็นตัวกำหนดที่สำคัญสำหรับอนาคตของสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ. การร่วมมือเพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้เป็นหน้าที่ของทุกคน เพื่อให้โลกของเรามีโอกาสในอนาคตที่ยั่งยืนและมั่งคั่งมากขึ้น

Cover Image : Image by Freepik

มีอยู่จริง ! โครงการลดโลกร้อน ลงทุนสูง เป็นที่นิยม และพัฒนาต่อเนื่อง

โครงการลดโลกร้อน

โครงการดี ๆ เหล่านี้มีศักยภาพในการช่วยลดอิทธิพลของการลดโลกร้อน และสร้างคุณค่าให้กับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว แต่ควรทราบว่า โครงการลดโลกร้อน ดังกล่าวอาจมีความซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ตามที่คาดหวัง นี่คือสามโครงการที่มีการลงทุนสูง และเป็นโครงการที่ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือ Climate Change และลดอิทธิพลของโลกร้อน

3 อันดับ โครงการลดโลกร้อน ที่ได้รับความสนใจ และลงทุนสูงสุด

1. โครงการพลังงานแสงอาทิตย์

โครงการนี้สามารถมีผู้ลงทุนหลายราย เช่น บริษัทผลิตแผงโซลาร์, บริษัทพลังงานใหม่, หรือรัฐบาลท้องถิ่นที่สนับสนุนพัฒนาพลังงานทดแทน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้า และความร้อนในอุตสาหกรรม และบริษัทต่างๆ โดยลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่มีความมลพิษ และคาร์บอน และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

2. โครงการรถยนต์ไฟฟ้า

โครงการลดโลกร้อน ประเภทนี้มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในโลก เช่น Tesla, Nissan, BMW, หรือรัฐบาลที่สนับสนุนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า วัตถุประสงค์ของโครงการคือเพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในการขนส่ง เพิ่มการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการใช้น้ำมันหรือเชื้อเพลิงที่มีส่วนร่วมในการเปิดปล่องก๊าซเรือนกระจก รถยนต์ไฟฟ้ามีการใช้พลังงานที่น่าเชื่อถือ และมีผลกระทบต่ำกับสิ่งแวดล้อม

3. โครงการป่าไม้ฟื้นฟู

โครงการป่าไม้ฟื้นฟู และการป้องกันการตัดต้นไม้ ส่วนใหญ่จะเป็นของรัฐบาล, องค์กรสิ่งแวดล้อม, หรือองค์กรไม้ที่มุ่งมั่นในการปรับปรุง และป้องกันป่าไม้ และตรงไปตรงมาคือโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพิ่มพื้นที่ป่าไม้, ป้องกันการตัดต้นไม้อย่างมาก และช่วยลดการกัดกินพื้นที่ป่าไม้ที่เป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มคุณค่าสิ่งแวดล้อม และป้องกันสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

โครงการพลังงานแสงอาทิตย์

ขณะนี้มีบริษัทหลายรายที่กำลังพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนี้

  1. Tesla, Inc.: Tesla เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังที่ไม่เพียงแต่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และบริการพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์เช่น Tesla Solar Roof ซึ่งเป็นแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ถูกบริหารจัดการให้เป็นส่วนหนึ่งของหลังคาของบ้าน ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายกับหลังคาทั่วไป ระยะเวลาส่งมอบเริ่มต้นในปี 2021
  2. SunPower Corporation: SunPower เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการผลิตแผงโซลาร์ที่มีประสิทธิภาพสูง และตัวบ้านผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พวกเขามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเช่นแผงโซลาร์บนหลังคาและโซลาร์ทรากติดดินสำหรับการใช้ในโรงงาน และธุรกิจ
  3. First Solar, Inc.: First Solar เป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์ที่เน้นใช้เทคโนโลยีฟิล์มขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับโครงการในมาตรฐานขนาดใหญ่ เช่น โรงงานพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการพลังงานทดแทนในธุรกิจ และอุตสาหกรรม

บริษัทเหล่านี้กำลังอยู่ในด้านหนึ่งของภาคพลังงานแสงอาทิตย์ และมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในทุกที่ทั้งในบ้าน และธุรกิจต่าง ๆ โดยมุ่งหวังลดการใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานที่มีส่วนร่วมในการเปิดปล่องก๊าซเรือนกระจก และสร้างความยั่งยืนในการผลิตพลังงาน ช่วย ลดโลกร้อน อย่างมีนัยสำคัญ

โครงการลดโลกร้อน
Image by Freepik

โครงการรถยนต์ไฟฟ้า

มีหลายบริษัทที่กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในการขนส่ง ตัวอย่างบริษัท และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  1. Tesla, Inc.: Tesla เป็นบริษัทชื่อดังที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพลังงานทดแทน เช่น Tesla Model S, Model 3, Model X, และ Model Y ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในหลายส่วนของโลก. Tesla ยังพัฒนาเทคโนโลยีขับรถอัตโนมัติอันล้ำหน้า และระบบจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าที่เร็ว และสะดวก
  2. Nissan: Nissan เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Nissan Leaf อย่างแรกในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ในปี 2010 และได้พัฒนารุ่นต่าง ๆ ของ Leaf ให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมการแลกเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับ Leaf เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
  3. BMW: BMW กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในหลายรุ่น โดยรุ่น BMW i3 และ BMW i8 ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเนื่องจากดีไซน์ที่สวยงาม และเทคโนโลยีล้ำหน้า นอกจากนี้ BMW ยังมีแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตอีกมากมาย
  4. Volkswagen Group: Volkswagen มีรุ่นรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ในตระกูล ID. ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าของโมเดลอื่น ๆ ในกลุ่ม เช่น Audi e-tron และ Porsche Taycan
  5. Hyundai/Kia: บริษัท Hyundai และ Kia มีรถยนต์ไฟฟ้าในตำแหน่งต่าง ๆ ในตลาด รวมถึงรุ่น Hyundai Kona Electric และ Kia Soul EV ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครอสโอเวอร์ที่มีราคาไม่แพง
  6. Rivian: Rivian เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่มีรถยนต์ออฟโรด และรถกระบะไฟฟ้าในแผนการผลิต โดยรถยนต์ออฟโรดรุ่น R1T และรถกระบะรุ่น R1S ได้รับความสนใจมากจากตลาด
  7. Lucid Motors: Lucid Motors ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม และได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Air ซึ่งมีลักษณะสวยงาม และเทคโนโลยีทันสมัย

บริษัทเหล่านี้กำลังเปิดตัว และพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าใหม่เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมขนส่ง และการเคลื่อนย้าย

โครงการลดโลกร้อน
Image by Freepik

โครงการป่าไม้ฟื้นฟู

โครงการลดโลกร้อน เพื่อฟื้นฟูป่าไม้ และการป้องกันการตัดต้นไม้มีหลายบริษัท และองค์กรที่กำลังทำงานเพื่อรักษาป่าไม้ และป้องกันการทำลายป่าไม้ ตัวอย่างบริษัท และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  1. Conservation International: องค์กรนี้มุ่งเน้นการป้องกันการทำลายป่าไม้ และส่งเสริมโครงการฟื้นฟูป่าไม้ทั่วโลก พวกเขาดำเนินการในหลายที่ทั่วโลกเพื่อประเมิน และปรับปรุงการจัดการป่าไม้ให้มีความยั่งยืน และป้องกันการตัดต้นไม้ที่ไม่เหมาะสม.
  2. The Nature Conservancy: องค์กรนี้มุ่งเน้นการรักษา และฟื้นฟูป่าไม้ทั่วโลก พวกเขามีโครงการการทำงานที่ใช้วิธีการคิดเชิงนวัตกรรมเพื่อสร้างความยั่งยืนในการจัดการป่าไม้ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
  3. World Wildlife Fund (WWF): WWF เป็นองค์กรสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นการปรับปรุงการจัดการป่าไม้ และส่งเสริมโครงการรักษาสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับป่าไม้ทั่วโลก พวกเขาเน้นความสมดุล และความยั่งยืนในการทำงานกับชุมชน และภาคีชาวบ้านท้องถิ่น.
  4. Rainforest Foundation: องค์กรนี้มุ่งเน้นการป้องกันการตัดต้นไม้ และส่งเสริมการฟื้นฟูป่าไม้ในป่าสาธารณะของทวีปใต้ พวกเขาทำงานกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการรักษา และการพัฒนาป่าไม้ที่ยั่งยืน
  5. Greenpeace: Greenpeace เป็นองค์กรสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นการป้องกันการตัดต้นไม้ และการทำลายป่าในหลายส่วนของโลก พวกเขาใช้การแสดงต่อสาธารณชน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการรับรู้ และการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการป่าไม้ฟื้นฟู และการป้องกันการตัดต้นไม้รวมถึงการจัดทำแผนประชาคมป่าไม้ การฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลาย การเสริมสร้างการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการจัดการป่าไม้เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

โครงการลดโลกร้อน
Image by Freepik

ทิศทางของ โครงการลดโลกร้อน ในอนาคต

ทิศทางของโครงการลดโลกร้อนในอนาคตมุ่งเน้นการกระทำเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยรวม ภายใต้ขอบเขตของความรับผิดชอบระดับโลก และยังเน้นการเพิ่มความยั่งยืน และความเท่าเทียมในกระบวนการลดโลกร้อนด้วยด้วยกัน นี่คือบางทิศทางสำคัญ

  1. การลดการใช้พลังงานที่มีส่วนร่วมในการเปิดปล่องก๊าซเรือนกระจก: โครงการลดโลกร้อนในอนาคตจะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากเชื้อเพลิงหรือพลังงานที่มีส่วนร่วมในการเปิดปล่องก๊าซเรือนกระจก เช่น การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และลม และการปรับปรุงความมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
  2. การพัฒนาพลังงานทดแทน: โครงการลดโลกร้อนในอนาคตจะรวมการพัฒนา และการใช้พลังงานทดแทนที่มีน้ำหนักสำคัญในมิติของการลดปล่องก๊าซเรือนกระจก เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, พลังงานแสงอาทิตย์, และพลังงานลม
  3. การป้องกันการทำลายสิ่งแวดล้อม: โครงการลดโลกร้อนจะรวมการควบคุมการตัดต้นไม้, การบริหารจัดการป่าไม้, และการรักษาความสมดุลของอะไรสร้างสิ่งมีชีวิตในป่า การป้องกันการทำลายสิ่งแวดล้อมช่วยรักษาการจับกัดคาร์บอน และสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ.
  4. การเปลี่ยนวิถีชีวิต: การสร้างความรับผิดชอบส่วนตัว และความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนสำคัญของโครงการลดโลกร้อน การลดการใช้พลาสติก, การใช้รถยนต์เฉพาะระหว่างที่จำเป็น, และการปลูกพืชที่ดูแลง่าย และมีประสิทธิภาพสูง เป็นตัวอย่างของวิถีชีวิตที่เพิ่มความยั่งยืน
  5. การร่วมมือระหว่างประเทศ: การลดโลกร้อนเป็นปัญหาระหว่างประเทศที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อแก้ไขประเด็นระดับโลก การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการลดปล่องก๊าซเรือนกระจก, การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี, และการสนับสนุนกันในการดำเนินการเพื่อลดโลกร้อนจะเป็นส่วนสำคัญของโครงการในอนาคต

โดยรวมแล้วทิศทางของโครงการลดโลกร้อนในอนาคตเป็นการผสมผสานของการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน, การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างรอบทิศทาง และการปฏิบัติที่ได้กล่าวถึงข้างต้นเป็นส่วนสำคัญของโครงการลดโลกร้อนในอนาคต นอกจากนี้ยังต้องมีการเสริมสร้างการตรวจสอบ และการประเมินผลเพื่อให้แน่ใจว่าโครงการมีผลสัมฤทธิ์ตามที่คาดหวัง และเพื่อปรับปรุงขั้นตอน และวิธีการตามความจำเป็น นี่คือแนวทางที่สำคัญในการลดโลกร้อนในอนาคตที่จะช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และส่งเสริมความเท่าเทียมในการส่งเสริมการแก้ไขประเด็นเรื่องโลกร้อนให้เป็นเรื่องสำคัญของวิธีการดำเนินชีวิตของทุกคนบนโลกนี้ในอนาคต

Credit Image : Image by Freepik

Climate Change วิกฤตการณ์ภาวะโลกร้อน ที่มองข้ามไม่ได้..อีกต่อไป

Climate Change

โลกของเราได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือ Climate Change มากมาย ที่เห็นได้ชัดคือ อุณภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดเป็นภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลาย หรือมีระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์แทบทั้งสิ้น โดยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนั้นเกิดจากกิจกรรมเล็กน้อยรอบตัว เช่น การใช้ถุงพลาสติก หรือเผาขยะ ก็ส่งผลกระทบกับสภาพอากาศในระยะยาวได้

ด้วยเหตุนี้ โรงกลึง โรงงานอุตสาหกรรม ในแวดวงการผลิตไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป อันเนื่องมาจากไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าขยะอุตสาหกรรม ขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง หรือกระบวนต่าง ๆ อันได้มาซึ่งผลผลิตที่ตรงตามเป้า มีประสิทธิภาพ แม้กระนั้นก็ตามอาจจะไม่ได้ผ่านกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับโลกนี้มากนัก ถึงเวลาเเล้วแหละที่เราต้องศึกษาและตระหนักถึงภัยร้ายของสิ่งเหล่านี้ เพื่ออนาคตของลูกหลานของเรา ก่อนที่โลกจะย่ำแย่ไปมากกว่านี้ และระเบิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ออกมาโต้ตอบพวกเราบ้าง

Climate Change
Image by wirestock on Freepik

สาระที่เกี่ยวข้องกับการ ลดโลกร้อน

Climate Change คืออะไร และมีสาเหตุมาจากอะไร

Climate Change หรือ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศทั้งทางตรงที่เกิดจากการผันแปรของธรรมชาติ และทางอ้อมผันแปรผ่านกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งสาเหตุที่กิจกรรมของมนุษย์มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้น เกิดจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เช่น การใช้ถุงพลาสติก เผาขยะ ตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ ก่อให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อน

อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นจนเกินความสมดุล ทั้งในบริเวณอากาศใกล้ผิวโลก ไปจนถึงน้ำในมหาสมุทร หากมนุษย์ยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผลิตพลาสติกหรือทำอุตสาหกรรมที่มีการใช้เชื้อเพลิง ปล่อยควันเสียออกจากโรงงาน หรือตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ โลกก็ยังต้องเผชิญปัญหาโลกร้อนต่อไป และแน่นอนว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศก็จะทวีสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ส่งผลกระทบกับโลกอย่างไร

ไม่ใช่แค่เพียงอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้น แต่ค่ามลพิษทางอากาศก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะ PM2.5 มลพิษทางอากาศที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมนุษย์ในปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ทำให้มีผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกมากถึงห้าเท่า หรือคิดอัตราการเจ็บป่วยจากภาวะมลพิษทางอากาศอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านคนต่อวัน 

นอกจากนี้งานวิจัย The International Labour Organization หรือ ILO เกี่ยวกับด้านอุตสาหกรรมโดยเฉพาะพบว่าเมื่อโลกมีสภาพอากาศร้อนมากขึ้น จะทำให้ผู้ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เสี่ยงต่อการเป็นโรคลมแดดได้ ซึ่งประเทศที่ไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น มีมาตรการในการป้องกันผู้ใช้แรงงาน โดยกำหนดให้พนักงานทำงานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 35 องศา เพื่อปกป้องพนักงานจากสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะหากพนักงานเจ็บป่วยหรือได้รับผลกระทบจาก Climate Change ขึ้นมา จำเป็นต้องลาป่วย หรือหยุดงานกลางคันเพื่อรักษาสุขภาพ และเมื่อพนักงานขาดรายได้ประจำ ภาพรวมต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมก็จะได้รับผลกระทบตามมาด้วย เรียกได้ว่า ภาวะโลกร้อน เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการบริโภคหรือการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เป็นแรงงานสำคัญของชาติ

Climate Change
Image by Freepik

ส่งผลกระทบกับประเทศไทยอย่างไร

สำหรับประเทศไทยส่งผลกระทบหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านเกษตรกร ด้านการท่องเที่ยว และอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้เกิดปัญหาด้านการส่งออกสินค้าและบริการ เพื่อที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศ หรือแม้แต่เศรษฐกิจในประเทศเองก็สามารถเป็นลบได้ไม่แพ้กัน โดยสามารถสรุปผลกระทบได้ดังนี้

การท่องเที่ยวในประเทศไทย

ส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดหนีไม่พ้นทางด้านเศรษฐกิจ นั่นคือ การท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศก่อให้เกิดปัญหาทางระบบนิเวศ สภาพอากาศขาดความสมดุลกัน ส่งผลให้น้ำทะเลมีระดับที่สูงขึ้น พบสัตว์ทะเลเกยตื้นชายหาด หรือมีสภาพอากาศร้อนกว่าปกติ ส่งผลกระทบในการท่องเที่ยวไทย 

นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนจัดไม่สะดวกในการเดินท่องเที่ยว ส่งผลให้เหล่าผู้ประกอบการในธุรกิจด้านการท่องเที่ยวขาดรายได้ รวมถึงอาจก่อให้เกิดภัยทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัยน้ำท่วม เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น คือ ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่กับชาวบ้านในประเทศ

เกษตรกรรมในประเทศไทย

อีกส่วนหนึ่งที่ได้ผลกระทบไม่แพ้กันก็คือด้านเกษตรกรรม ชาวบ้านไม่ได้ผลผลิตทางการเกษตรตามที่ต้องการ เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น บางวันมีอุณหภูมิถึง 35-40 องศา และฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล แมลงและวัชพืชต่าง ๆ จึงมาทำลายแปลงเกษตรในไร่ ทำให้ได้ผลผลิตน้อยและไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ นอกจากนี้ มีอีกหนึ่งผลกระทบที่สามารถเห็นได้ชัด คือ ปัญหาภัยแล้ง ที่หนักสุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งคาดการว่าในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไปจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

Climate Change
Image by jcomp on Freepik

การทำลายทรัพากรธรรมชาติของมนุษย์

ใครจะคิดว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การใช้ถุงพลาสติก เผาขยะ หรือการเผาไม้ทำลายป่า เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบหลายด้านทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยว นับเป็นเรื่องใกล้ตัวเราทุกคนเป็นอย่างมาก

เปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนแปลงโลกให้ห่างไกลภาวะโลกร้อน

สิ่งสำคัญที่เราต้องต่อนั่นก็คือการแก้ไขระบบนิเวศถูกทำลายหรือขาดสมดุลไปมากกว่านี้ มนุษย์ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติ ไม่นิ่งนอนใจ หรือปล่อยให้เป็นเพียงหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่จะต้องลุกขึ้นมาช่วยกันแก้ไขปัญหา เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยมือเรา เพียงลดการใช้ถุงพลาสติกแล้วหันมาใช้ถุงผ้า ลดมลพิษทางอากาศด้วยการนั่งรถประจำทางสาธารณะ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวให้มากขึ้น เพียงเท่านี้ก็ช่วยสร้างโลกใบใหม่ให้น่าอยู่กว่าเดิมได้ ลงมือทำวันนี้เลย !

ลดโลกร้อนด้วย แอปพลิเคชัน Sustainability

Cover Image : Image by Freepik

Reference source & credit :

https://www.scbeic.com/th/detail/product/703

https://sdthailand.com/2019/08/global-warming-temperature-exceeds-climate-change

Safety First ! ส่องอนาคตด้านสุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน

ความปลอดภัยในโรงงาน

ในปัจจุบันนี้สุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน ในอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศอุตสาหกรรมทั่วโลกหรือแม้แต่ประเทศไทยต่างก็มีแนวคิด วิธีการ และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อมาเสริมสร้างการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และยังต้องได้ผลผลิตที่ยอดเยี่ยมตรงตามมาตรฐานการผลิด โรงกลึงพีวัฒน์เองก็ยังคงหาข้อมูลและอัปเดทเกี่ยวกับสิ่งนี้เพื่อนำมาปรับพัฒนาคุณภาพของพนักงานช่าง วิศวกร ในโรงกลึงของเราเสมอ โดยตามหลักแล้วทุกอุตสาหกรรมจะยึดหลักการเดียวกันว่าพนักงานทุกคนจะต้องมีความปลอดภัยเป็นสำคัญอันดับแรก เนื่องจากต้องทำงานท่ามกลางเครื่องจักร ตามด้วยส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขในการทำงานและสุขภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถยึดมาตรฐาน ISO 45001 ที่นับว่าเป็นมาตรการความปลอดภัยระดับสากลที่ทั่วโลกต่างต้องมี

5 เทรนด์พัฒนาสุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน ในอุตสาหกรรม

สำหรับการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในโรงงานในอุตสาหกรรม ถ้าสังเกตต่างก็มีนวัตกรรมมากมายเพื่อมาช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหากอธิบายแบบให้เห็นชัด ๆ ว่า 5 เทรนด์ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานทุกคนในองค์กรสามารถทำได้อย่างไร สามารถตามอ่านกันได้เลย

(1) การพัฒนาด้านสุขภาพและพลานามัยของพนักงานพื้นฐาน

สำหรับพื้นฐานด้านสุขภาพและพลานามัยของพนักงานนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำตั้งแต่ต้น ซึ่งในจุดนี้ควรจะมีในทุก ๆ องค์กรเพื่อที่ว่าจะสามารถพัฒนาชีวิตขั้นพื้นฐานของพนักงานให้เป็นไปในทิศทางที่ดี และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเรื่องที่จะต้องเน้นมีรายละเอียดดังนี้

  • การได้รับโภชนาการอาหารที่ครบถ้วน – สำหรับการได้รับโภชนาการอาหารที่ครบถ้วนนับเป็นสิ่งที่สามารถส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพนักงานได้ในระยะยาว
  • การได้รับการดูแลทางร่างกายและจิตใจ – การทำงานของพนักงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการใส่ใจในการดูแลสุขภาพทั้งในเรื่องของร่างกายและจิตใจที่จะต้องหมั่นเช็กเสมอนับว่าเป็นการป้องกันสุขภาพที่ดี
  • การให้ความสำคัญกับสังคมและเศรษฐกิจ – สังคมในที่ทำงานนับเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเป็นไปในทิศทางบวก รวมทั้งเศรษฐกิจที่จะต้องให้ความสำคัญ เพื่อที่จะทำความเข้าใจพนักงานในเรื่องของสวัสดิการและรายได้ที่ดี
ความปลอดภัยในโรงงาน
Image by Freepik

(2) อัพเดทอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE ตามสายงานอุตสาหกรรม

การทำงานในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ นับเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจในเรื่องของยูนิฟอร์ม รวมไปถุงอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE ตามแต่ละสายงานอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันที่ครบถ้วน และพนักงานทุกคนควรจะมีของตัวเองเพื่อสามารถเพิ่มความปลอดภัยในโรงงานให้กับพนักงานได้เป็นอย่างดี

  • ยูนิฟอร์มเหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน – ยูนิฟอร์มนับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ควรดีไซน์ให้เหมาะสมกับการทำงานประเภทต่างๆ ซึ่งหนึ่งที่ทางต่างประเทศให้ความใส่ใจนั่นก็คือ การทำเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไร้รอยต่อ เบาทำให้สะดวกแก่การทำงาน หรือหากต้องมีถุงมือก็จะเป็นถุงมือถักไร้รอยต่อและเหมาะกับมือของบุคคลนั้นๆ 
  • อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE – สำหรับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE นับเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากที่จะต้องตระเตรียมให้พร้อม แต่ทั้งนี้การเพิ่มระบบเซ็นเซอร์ภายในชุด เพื่อเช็คอัพติดตามการทำงานของพนักงาน เพื่อดูความปลอดภัยได้ตลอดเวลาคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ
  • ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเช็คสุขภาพของพนักงาน – การติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่มีการออกแบบเฉพาะ เพื่อเช็คสุขภาพในเรื่องของอัตราการเต้นของหัวใจ แคลอรี่ที่เผาผลาญ จำนวนที่ก้าวเดิน ความดัน ระดับออกซิเจน ระดับเหงื่อ สัญญาชีพ และ ปริมาณแอลกอฮอล์สิ่งเหล่านี้จะสามารถดูแลสุขภาพเพิ่ม ความปลอดภัยในโรงงาน ให้กับขณะที่พนักงานปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

(3) รวบรวมข้อมูลการทำงานของพนักงานเพื่อพัฒนาสุขภาพและความปลอดภัย

การรวบรวมข้อมูลการทำงานของพนักงานแต่ละคนจะสามารถพัฒนาสุขภาพและความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์ได้หลายด้านทั้งในแง่ของความปลอดในการทำงาน หรือการคาดการณ์เหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งถือว่าเป็นการหาแนวทางป้องกันก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง เพื่อลดการเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ หรือการเกิดโรคในระยะยาวได้

(4) การปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมช่วยในการทำงาน

การปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมก็นับเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้ระบบการทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเน้นพัฒนาในด้านความปลอดภัยเป็นหลัก ก็ยิ่งจะสร้างความปลอดภัยในโรงงานให้ดียิ่งขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้จากเครื่องในโรงงานอุตสาหกรรมปรับการใช้งานที่ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น หรือการพัฒนาแอพลิเคชั่นที่เพิ่มความสะดวกในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

ความปลอดภัยในโรงงาน
Image by fxquadro on Freepik

(5) การเลือกใช้หุ่นยนต์หรือพาหนะในงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ

การเลือกใช้หุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งพาหนะต่างๆ ที่เน้นในรูปแบบเป็นมิตรกับพนักงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่หลายๆ โรงงานอุตสาหกรรมต่างก็พากันใส่ใจมากยิ่งขึ้น เพื่อลดอุบัติเหตุในการทำงาน ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานได้ ส่วนใหญ่ที่มักจะพบได้แก่

  • การเลือกใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ EV – การเลือกใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ EV ถ้าหากนึกง่ายๆ ก็คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นมิตรกับพนักงานและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะระหว่างการใช้งานจะไม่สร้างสิ่งที่เป็นมลพิษทางอาการได้นั่นเอง
  • การเลือกใช้รถหรืออุปกรณ์ต่างๆด้วยระบบ AV – สำหรับระบบ AV คือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่สามารถเห็นได้มากยิ่งขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างเช่น  หุ่นยนต์จัดส่งสินค้า , หุ่นยนต์ช่วยงานโรงงาน เป็นต้น
  • การเลือกใช้รถยนต์ไร้คนขับ – นับว่าเป็นนวัตกรรมที่กำลังมีขึ้นในอนาคตเพื่อลดอุบัติเหตุขณะจัดการส่งสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง สามารถหลีกเลี่ยงยานพาหนะ คน และสิ่งกรีดขวางอื่น ๆ ได้ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพแวดล้อม รวมทั้งคาดการณ์เหตุการ์ที่เป็นอันตราย

สุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน เกิดจากผู้เชี่ยวชาญ

ในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในโรงงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือการเลือกเฟ้นผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจัดการระบบผ่านการคิด วิเคราะห์ สรุปผล และหาแนวทางป้องกันในเรื่องของสุขภาพ รวมทั้งความปลอดภัยขณะการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงขณะทำงาน ในเวลาเดียวกันเจ้าขององค์กรเองก็ควรจะให้ความสำคัญและเป็นแบบอย่างในการพัฒนาสุขภาพและความปลอดภัยของทุกคนในองค์กรให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

Cover Image : Image by senivpetro on Freepik

5 Checklist เช็คให้ชัวร์.. ก่อนขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วย “หุ่นยนต์ AI”

หุ่นยนต์ AI

ปัจจุบันเริ่มมีการนำ หุ่นยนต์ AI มาใช้ในหลายธุรกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงพยาบาล และอีกมากมาย นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป แต่กลุ่มธุรกิจที่นำ AI มาใช้ประโยชน์เป็นอันดับต้น ๆ อย่างแพร่หลาย คงหนีไม่พ้นโรงงานอุตสาหกรรม โรงกลึงโดยเฉพาะสายงานการผลิตที่แทบจะพลิกวงการกันเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีหลายอุตสาหกรรมยังไม่มั่นใจถึงความคุ้มค่า ความน่าเชื่อถือ หรือด้วยกำลังทรัพย์ต่าง ๆ ที่จะเดินหน้าจัดซื้อ หุ่นยนต์ AI มาใช้ประกอบกิจการดีหรือไม่ ในบทความนี้จึงจะขอพาทุก ๆ คนมาตรวจสอบความพร้อมว่าควรมี AI หรือไม่ และทิ้งท้ายมุมมองเกี่ยวกับ AI ในอนาคต

หุ่นยนต์ AI
Image by usertrmk on Freepik

Checklist เตรียมความพร้อมกับอุตสาหกรรมที่มี หุ่นยนต์ AI

ถ้าหากคุณมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่การที่จะมีหุ่นยนต์ AI เข้ามาร่วมในการดำเนินการตามภาคส่วนต่างๆ สิ่งแรกๆ ที่ควรเช็กนั่นก็คือการเตรียมความพร้อมต่างๆ ในการที่จะนำ AI มาเข้าร่วม โดยสามารถอิงจากขั้นตอนการดำเนินงาน เป้าหมายธุรกิจ รวมไปถึงสภาพการเงินต่างๆ อีกด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาเช็คลิสต์ กับ 5 ข้อ ในการเตรียมธุรกิจให้พร้อมก่อนปรับใช้หุ่นยนต์ AI ในอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม

CHECK 1st – กลยุทธ์

การพิจารณาจากกลยุทธ์นับเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องคิดว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมของคุณหรือไม่ โดยกลยุทธ์ที่ว่านี้จะต้องมีเป้าหมายของธุรกิจเสียก่อน ว่าจุดมุ่งหมายในระยะทางไกลนั้นเป็นอย่างไร และถ้าหากนำหุ่นยนต์ AI จะสามารถพัฒนาธุรกิจเติบโตได้แค่ไหน โดยสามารถประเมินผ่าน KPI ได้ ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องสัมพันธ์กับค่าลงทุนที่จะมาทดแทนการจ้างคน และยังคำนวณว่าสามารถทำ AI ได้มากกว่าคนหรือไม่

CHECK 2nd – คน

แน่นอนว่าการเข้ามาของหุ่นยนต์ AI บุคคลหลายส่วนอาจมีความคิดต่อต้านว่ามาแย่งแรงงานคนหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วคนกับ AI สามารถทำงานร่วมกันได้เพียงแค่ต้องเปิดใจ ในเบื้องต้นไม่มีทางที่อุตสาหกรรมที่จะสามารถคิด AI ที่เหมาะกับธุรกิจของตัวเองได้ การได้คำแนะนำจากพนักงาน การเรียนรู้ระบบปฏิบัติการ หรือการทำงานเพื่อมาปรับให้ AI เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ละถ้าหากบุคคลเหล่านั้นคอยคุมการทำงานของ AI ก็นับเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

CHECK 3rd – ข้อมูล

ก่อนการสร้างหุ่นยนต์ AI สำหรับอุตสาหกรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะรวบรวมข้อมูลทุกอย่างในทุกๆ มิติ เพื่อที่จะพัฒนา AI ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมทุกรูปแบบ แต่ถึงอย่างนั้นหากได้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณแล้ว การจะหาแนวทางที่ดีที่สุดอาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการประดิษฐ์ปัญญาประดิษฐ์ควบคู่กับธุรกิจของคุณจะเป็นการดีที่สุด เพื่อที่จะเรียนรู้ ฝึกอบรมในการใช้งาน รวมไปถึงการผลิตภาคส่วนต่างๆ

CHECK 4th – โครงสร้างพื้นฐาน

ในส่วนนี้จะหมายถึงการทำงานของ AI ทั้งหมด เพื่อที่จะสามารถรันงานทั้งหมดได้ โดยสามารถนำฮาร์ตแวร์หรือซอร์ฟแวร์ รวมทั้งระบบปฏิบัติการต่างๆ มาเตรียมความพร้อมอย่างเสร็จสรรพ และออกแบบ AI ที่มีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าเรื่องแรกมีความปลอดภัยขณะการใช้ สามารถทำการผลิตสินค้าและสามารถส่งออกได้อย่างรวดเร็ว สามารถปรับการทำงานหรือขนาดของ หุ่นยนต์ AI ที่เหมาะกับอุตสาหกรรมเหล่านั้นได้ โดยทั้งหมดนี้คนสามารถควบคุมผ่านแอพพลิเคชั่นได้นั่นเอง

CHECK 5th – จริยธรรม

การทำงานของหุ่นยนต์ AI จำเป็นจะต้องคำนึงถึงจริยธรรมในด้านต่างๆ ในทิศทางที่เป็นประโยชน์ของมนุษย์ สิ่งแรกคือช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ สิ่งที่สองคือต้องมีความปลอดภัยขณะการใช้งาน สิ่งที่สามคือไม่มีการส่งผลเสียทางอ้อมในการใช้ AI และส่งผลกระทบต่อมนุษย์หรือสภาพแวดล้อมโดยรอบ หลักๆ แล้วการออกแบบควรคำนึงถึงจริยธรรม และการทำงานของ AI ให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ และลดความเสี่ยงหาก AI เกิดทำงานผิดพลาดและส่งผลกระทบต่างๆ ได้นั่นเอง

หุ่นยนต์ AI จะเปลี่ยนโลกเป็นอย่างไร

สำหรับปัญญาประดิษฐ์หรือหุ่นยนต์ AI เป็นสิ่งที่ทั่วโลกจับตามองว่าจะสามารถขยายผลไปได้ถึงไหน แน่นอนว่าถ้าโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลายต่างหันมาใช้ AI ในการดำเนินการต่างๆ ทั้งสายงานการผลิต การเช็กสตอคสินค้า การจัดเรียงส่งสินค้า หรือแม้จะรันกระบวนการตั้งแต่เริ่มจนจบดูเป็นอะไรที่ไม่ไกลตัวหนัก ยกตัวอย่างเช่น

  • หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMRS) ทำการลำเลียงสินค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างแม่นยำ
  • หุ่นยนต์ช่วยงานคลัง (Warehouse Robotics) ทำหน้าที่ในการหยิบจัด แพคของ หรือการทำงานซ้ำๆ ที่ทดแทนแรงงานมนุษย์
  • การใช้ระบบ Iot จะเป็นการตรวจเช็กสินค้าตั้งแต่ต้นจนจบ ที่จะสามารถบอกตำแหน่ง จำนวนสินค้าที่เหลือ การลำเลียงสินค้า และการส่งออกสินค้าโดยไม่จำเป็นต้องใช้คนในการเช็กแต่อย่างใด
  • การใช้ VR และ AR หรือการจำลองโลกเสมือนเพื่อทำการซ่อมแซมบำรุงอุปกรณ์ทางด้านอุตสาหกรรม เพื่อที่ว่าจะแก้ไขทันด่วน โดยมีคำแนะนำผ่านโลกเสมือนจริง

สำหรับที่ได้กล่าวไปข้างต้นเป็น AI ที่สามารถใช้ได้จริง และสามารถทำได้จริงเมื่ออิงจากหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเองในหลายๆ อุตสาหกรรมเริ่มเอาสิ่งเหล่านี้มาช่วยในกิจการได้มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากการจะพัฒนา AI เฉพาะทางสำหรับไลน์การผลิตอาจจะยังพบเห็นได้น้อย เพราะต้องคำนึงถึงการออกแบบ การผลิต และความปลอดภัยของการใช้ AI ด้วยนั่นเอง

Key Takeaways

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสายงานผลิต เริ่มมีหุ่นยนต์ AI เข้ามาช่วยเหลือในการผลิตต่าง ๆ ที่ต้องบอกว่ามีความแม่นยำ สามารถทำงานได้เป็นอย่างดี และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องแม้ไม่ได้หยุดพัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งที่จะสามารถประหยัดต้นทุนที่ใช้แรงงานคนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน อาจมีการใช้ AI มากยิ่งขึ้น และลดแรงงานคนน้อยลง แต่ท้ายที่สุดแล้วคนก็ยังสำคัญ เพื่อที่จะตรวจสอบการทำงานของ AI อย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยอยู่ดี

Credit : https://www.aspentech.com/en/resources/blog/are-you-ready-for-industrial-ai-our-checklist-has-the-answer?fbclid=IwAR3x9RlerKOjq5L4duzZAStSiayGChnKLj2CXIOSe1wullI25Y9TrZ0g22Q

Cover Image : Image by Lifestylememory on Freepik

แก้ “ปัญหาโลกร้อน” กำจัดขยะอุตสาหกรรมให้ถูกวิธี !

ปัญหาโลกร้อน

ปัจจุบันสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างเห็นได้ชัดที่สุดก็คือขยะอุตสาหกรรมที่มีการกำจัดขยะไม่ถูกวิธี แน่นอนว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมรอบข้างและชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับทางโรงงาน เป็นต้นตอสำคัญของไป ปัญหาโลกร้อน อย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งที่ส่งผลเสียอย่างเห็นได้ชัด คือไม่ว่าจะเป็นมลภาวะทางอากาศ การเทของเสียลงแม่น้ำ การปล่อยก๊าซพิษ การกำจัดของเสียอันตรายผิดวิธี และอื่นๆ อีกมากมาย

เราทุกคนสัมผัสได้แน่นอนว่าในทุกวันนี้ร้อนเหลือเกิน แน่นอนว่ามันคือผลกระทบโดยตรงจากปัญหาโลกร้อนและภาวะเรือนกระจก ซึ่งในมุมของโรงกลึง โรงงานอุตสาหกรรม ส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็หนีไม่พ้นเรื่องการปล่อยของเสีย และการกำจัดขยะอุตสาหกรรมผิดวิธี.. โรงกลึงพีวัฒน์ขออินกับกระแส Sustainability อาสาบอกเล่าให้ฟังว่าขยะอุตสาหกรรมส่งผลต่อโลกร้อนอย่างไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไร สามารถตามอ่านไปด้วยกันได้แลย

ขยะอุตสาหกรรม ต้นตอของ ปัญหาโลกร้อน

สำหรับคำว่าขยะอุตสาหกรรมคือของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต ของที่เสื่อมสภาพ ของที่หมดอายุ สารเคมีและสารปนเปื้อน  และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างขยะมหาศาลและยังเป็นอันตรายอีกด้วย สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ขยะอันตรายและขยะไม่อันตรายโดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ขยะอันตราย : สารไวไฟและน้ำมันชนิดต่างๆ , สารกัดกร่อน , สารที่เกิดปฏิกิริยาง่าย , ของที่ปนเปื้อนสารพิษ
  • ขยะไม่อันตราย :  กากผลไม้ , เศษผ้า , เศษเหล็ก , เศษกระดาษ

กากอุตสาหกรรมเหล่านี้หากกำจัดแบบผิดวิธีก็จะสามารถส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนได้ หรือที่เรารู้จักในชื่อว่า “ก๊าซเรือนกระจก” ที่เกิดจากการนำขยะฝังกลบ การเผาขยะแบบเปิด การบำบัดเชิงชีวภาพ การบำบัดน้ำเสีย ซึ่งจะมีการปล่อยก๊าซมีเทน , ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ ก๊าซไนตรัสออกไซด์ที่จะทำให้โลกร้อนขึ้นในทุกปีๆ ซึ่งสามารถสังเกตจากประเทศไทยได้ว่าอุณหภูมิความร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

วิธีการกำจัดขยะอุตสาหกรรมถูกต้องตามกฎหมาย

ในส่วนเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องวิธีการกำจัดขยะอุตสาหกรรมก่อนที่จะรู้ว่ามีวิธีไหนบ้าง จำเป็นที่จะต้องรู้ถึงประโยชน์ของการลดขยะเสียก่อน โดยประโยชน์ก็จะมีในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม พัฒนาโรงงานเพื่อลดความผิดพลาดในการผลิตสินค้า สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบด้านและเป็นมิตรกับชุมชนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นมูลค่าได้อีกด้วย โดยวิธีการกำจัดกากขยะที่โรงงานส่วนใหญ่ใช้เป็นมาตรฐานก็คือหลัก 3R ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ปัญหาโลกร้อน
Image by Freepik

1. Reduce ลดใช้สินค้าหรือวัตถุดิบในการผลิตลง

สำหรับ Reduce นับว่าเป็นวิธีป้องกันก่อนเกิดเหตุขยะอุตสาหกรรมโดยสามารถเริ่มจากการใส่ใจกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนแล้วลองไล่เช็คเครื่องโรงงานว่ามีการทำงานที่มีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่ เพราะถ้าหากมีการผลิตผิดพลาดบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นว่าเพิ่มขยะได้โดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ลดการใช้สินค้าหรือวัตถุดิบในการผลิตให้น้อยลงก็นับเป็นวิธีที่น่าสนใจไม่น้อย หรือหากพบว่าบางจุดที่ไม่จำเป็นอย่างเช่นแพคเกจจิ้งที่มีความซ้ำซ้อนก็จะสามารถลดลงขยะได้ด้วยเช่นกัน

2. Reuse การนำขยะกลับมาใช้ซ้ำ

โรงงานที่เป็นอุตสาหกรรมฝ่ายภายผลิต แน่นอนว่าจะมีกากอุตสาหกรรมมากมายหลายอย่าง ที่มีทางเลือกที่ว่านำไปกำจัดอย่างถูกวิธี แต่ถ้าหากขยะเหล่านั้นนำกลับมาใช้ซ้ำได้ก็นับว่าเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ และเป็นคีย์หลักในการแก้ ปัญหาโลกร้อน ยกตัวอย่างเช่น 

  • การนำพลาสติกมาละลายเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำ 
  • การส่งคืนถังบรรจุสารต่างๆของลูกค้า กลับมาที่โรงงานเพื่อนำมาใช้งานต่อ 
  • ภายในโรงงานหากมีจุดที่เสียหากซ่อมแซมได้ก็ให้ซ่อมแซม ดีกว่าการซื้อของใหม่อย่างแน่นอน
ปัญหาโลกร้อน
Image by rawpixel.com on Freepik

3. Recycle การนำขยะไปแปรรูปให้เป็นประโยชน์

ในส่วนของ Recycle จะเป็นการนำขยะอุตสาหกรรมไปแปรรูปต่าง ๆ ให้กลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นได้ หรือก็คือการเปลี่ยนขยะเสียอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นของใหม่หรือไปเป็นส่วนผลิตด้านอื่นๆ  ยกตัวอย่างเช่น 

  • การนำของเสียหรือของที่ใช้แล้วที่มีค่าความร้อนไปใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน (น้ำมันเครื่อง น้ำมันหล่อลื่น) 
  • การนำไปเป็นเชื้อเพลิงผสม (กระดาษ , ผ้าปนเปื้อน , สารตัวทำละลาย , กากตะกอน) 
  • การเผาเพื่อเอาพลังงาน (เส้นใยปาล์มนำไปทำเชื้อเพลิงในหมอไอน้ำ
  • การใช้เศษไม้และขี้เลื้อยไม่มีสารปนเปื้อนทำเป็นเชื้อเพลิงปรุงอาหาร)  
  • การนำน้ำมันเครื่องและน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วส่งไปยังโรงงานผลิตสีทาบ้าน
  • การส่งยางรถยนต์ที่เสียแล้วให้กับทางโรงงานน้ำมันดีเซล
  • การนำของเสียหรือวัตถุดิบที่เสียหาย ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ 

สำหรับ 3R ที่ได้แนะนำไปข้างต้นนับว่าเป็นวิธีการกำจัดขยะอุตสาหกรรมที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง แต่ทั้งนี้การกำจัดขยะในรูปแบบอื่นก็มีมากมาย เช่น การนำไปถมที่กรณีที่ไม่ใช่ขยะอันตราย การหมักทำปุ๋ย การนำเศษอาหารไปเป็นอาหารสัตว์ การนำของเสียโลหะไปสกัดเพื่อนำโลหะกลับมาใช้ใหม่ และอื่นๆ อีกมากมายที่นับว่าเป็นวิธีปลอดภัยและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถลดปัญหาโลกร้อนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

แก้ปัญหาโลกร้อน แก้ปัญหาขยะอุตสาหกรรม เพื่อโลกอนาคต

ตามหลักกฎหมายแล้วโรงงานที่มีขยะเสียหรือขยะอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องส่งไปให้โรงงานรับกำจัดขยะที่ได้รับใบอนุญาตและมาตรฐานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เพื่อที่ว่าสามารถกำจัดขยะได้ถูกวิธีและไม่ส่งผลต่อโลกใบนี้ โดยต้องเริ่มใส่ใจตั้งแต่โรงงานผู้ก่อกำเนิดขยะ ผู้ขนส่งขยะ และโรงงานรับบำบัดหรือกำจัด หากทั้ง 3 ในที่นี้สามารถแก้ไขได้ถูกวิธีและทำตามกฎหมายที่ได้มีการกำหนดไว้ แน่นอนว่าสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิต รวมไปถึงภาวะโลกร้อนจะดีขึ้นได้นั่นเอง

Credit Cover Image : Image by Freepik

CNC x งานดีไซน์ “อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์” ที่บางชิ้น.. ราคาเกือบเท่ารถ!

อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์

จริง ๆ เรื่องเกี่ยวกับ อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์ หรือ อะไหล่แต่งรถยนต์ เป็นเรื่องที่เรานั้นอยากจะพูดถึงมานานแล้วเหมือนกัน และหลังจากพูดถึงแต่สาระเน้น ๆ ของอุตสาหกรรมโรงกลึงกันมาตลอด วันนี้ขอพาทุกคนมาพักผ่อนหย่อนใจ โดยเฉพาะผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มกับความคลาสสิค แต่ก็อยากใช้ชีวิตแบบโมเดิร์น รวมถึงใครก็ตามที่ชอบงานศิลปะ งานอาร์ต เพราะเนื่องจากแบรนด์ “อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์” ตระกูลสกู๊ตเตอร์สุดเก๋าอย่าง “New Vespa” ที่เราอยากจะพาไปรู้จักนี้ มีความยูนีค เรียกได้ว่ายิ่งเสริมแบรนด์ของรถที่ปกตินั้นก็มีเอกลักษ์อยู่แล้วให้ยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีกด้วยดีไซน์สุดฉมัง!

ขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จาก เฟซบุค Maru’s Factory เข้าไปเลือกดูอะไหล่ ของแต่งสวย ๆ ได้ (เราไม่ได้ค่าสปอนเซอร์แต่อย่างใด)

อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์

CNC Machining x งานดีไซน์ ตลาดที่ลูกค้าพร้อมสู้ราคา?

แต่อย่างที่รู้กัน อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์ นั้นจะได้รับความนิยมได้ นอกจากความสวยงาม ดีไซน์ที่ลงตัวแล้ว เรื่องของความแข็งแรง ความเนี้ยบ ความละเอียดของงานนั้นก็ต้องมาควบคู่กัน ซึ่งต้องบอกเลยว่าจุดแข็งของแบรนด์ “Maru’s Factory” ที่เราจะเอ่ยถึง ไม่ได้มีแค่เรื่องของการตลาดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในไลน์การผลิตพวกเขาก็ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงของ CNC Machining ในการผลิตชิ้นงาน ใช้วัสดุคุณภาพสูง ได้มาตรฐานสากล ทำให้ได้รับการยอมรับของตลาดโลก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับแบรนด์จากไต้หวัน

โดยของแต่ง นิว เวสป้า แบรนด์ มารุส์ แฟคทอรี่ มีหลายอย่างให้เลือกสรรค์ พาร์ทแต่ละอย่างนั้นต่อให้มีราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่นที่เป็นงาน CNC เหมือนกัน แต่ด้วยงานดีไซน์ที่โดนเส้นของชาวนิว เวสป้า ทำให้ขายดิบขายดีจนเกิดเป็นคำแซวกันในกลุ่มว่า “เวสป้าหนึ่งคันต้องมีของแต่งมารุส์หนึ่งชิ้น” และคำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด

อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์

Maru’s Factory ของแต่ง “New Vespa” ที่เป็นมากกว่าอะไหล่

สำหรับคนที่อยู่ในแวดวง New Vespa ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของเอง หรือติดตามเสพย์เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนหามาครอบครองสักคัน เชื่อว่าต้องรู้จักแบรนด์ที่ชื่อว่า “Maru’s” แน่นอน ด้วยความที่เป็นของแต่งดีไซน์สุดจี๊ดจากประเทศไต้หวัน ซึ่งตัวเจ้าของแบรนด์เองนั้นจริง ๆ แล้วเป็นดีไซเนอร์ผู้สร้างงานศิลปะ ทำให้อุปกรณ์แต่งรถแต่ละอย่างของแบรนด์มีสไตล์ที่ฉีกไปจากแบรนด์อื่น ๆ โดยเฉพาะ “ล้อ” ไอเทมที่ถือว่าเป็นของแรร์ในตลาดรถ นิว เวสป้า 

แถมด้วยเรื่องของการตลาดที่ทางแบรนด์นั้นวางทิศทางไว้ ยิ่งทำให้สินค้าแต่ละชิ้นนั้นยิ่งสร้างความต้องการให้กับลูกค้า เพิ่มความแรร์ของสินค้าแต่ละล็อตด้วยการจำกัดจำนวน แต่การที่จะทำแบบนี้ได้นั้นสินค้าของพวกเขาก็ต้องเจ๋งจริง ไม่ว่าจะเป็นแง่ความสวยงาม การใช้งาน และการผลิตที่ได้มาตรฐาน

ในวงการนี้ การที่จะได้ครอบครองล้อมารุส์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะแต่ละโมเดลที่ทำมามีขายแบบจำกัด ยิ่งหากเป็นโมเดล “ลิมิเต็ด” ยิ่งทวีคูณเรื่องความแรร์ ยกตัวอย่างโมเดลสุดฮอต ล้อ 5 รู Maru’s Factory รุ่น “ลายเซ้นต์” W125B หากทางโรงงานใหญ่ผลิตโมเดลลิมิเต็ดมาขึ้นมา 100 ชุด สาขาที่ประเทศไทยจะได้รับอยู่ที่ 10 ชุด เท่านั้น การซื้อการจัดจำหน่าย ถ้าไม่ได้มีการจับจองเอาไว้ล่วงหน้าก็ต้องรอตลาดมือสองอย่างเดียว ซึ่งบอกเลยว่าราคาไม่มีตก แถมยังโดดขึ้นไปได้อีก ยกระดับจากของแต่งรถ กลายเป็นของสะสมของกลุ่มคนรักของแต่ง นิว เวสป้า เรียกว่าถ้าถูกอกถูกใจหลายไหน แค่มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้สำหรับแบรนด์นี้

ลองมาดู อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์ งาน CNC แบรนด์ Maru’s สำหรับ New Vespa มีอะไรบ้าง

อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์

นอกจากล้อที่ฮิตสุด ๆ แล้ว ของแต่งของแบรนด์มารุส์ที่เป็นงาน CNC ระดับพรีเมียม ยังมีให้เลือกหลากหลาย และเกือบทุกอย่างก็ได้รับความนิยม ดังนี้

  • มือเบรค (ก้านเบรค)
  • ครอบอาร์ม
  • ครอบแครงค์
  • ตัวโหลดโช้ค
  • ดุมล้อหน้า
  • ตุ้มปลายแฮนด์
  • ก้านวัดน้ำมันเครื่อง
  • ฝาถังน้ำมัน

ในตลาดมือสองของกลุ่ม นิว เวสป้า อะไรก็ตามที่เป็นของแบรนด์นั้นซื้อง่ายขายคล่องแบบสุด ๆ แถมราคาก็ตกน้อยมากหากเทียบกับแบรนด์อื่น ยิ่งเป็นล้อลายสวย ๆ ที่คนตามหากัน ราคาเปิดตัวมา 4-5 หมื่น มือสองขายกัน 6 หมื่น ก็ยังมีให้กันเลยกับแบรนด์นี้!

ดีไซน์โดดเด่น คุณภาพได้มาตรฐาน อาจเป็นโอกาสของแบรนด์หน้าใหม่?

จากการที่แบรนด์ มารุส์ แฟคทอรี่ นั้นประสบความสำเร็จในตลาดของ “นิว เวสป้า” ทั้ง ๆ ที่ก่อนเข้าลุยตลาดนี้มีทั้ง Zelioni และ S.I.P นั้นเป็นขาใหญ่แห่งวงการจับจองพื้นที่อยู่แล้ว แต่แบรนด์ มารุส์ นั้นเพิ่งจะฉลองครบรอบ 10 ปี ใน ค.ศ ปัจจุบันนี้ แถมยังเป็นแบรนด์เอเชียอีกต่างหาก ยังสามารถเข้าแทรกซึมส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มนี้ได้ โดยยึดสองจุดแข็งที่กล่าวเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้น นั่นก็คือเรื่องของ “ดีไซน์และคุณภาพของงาน” พูดได้เลยว่าถ้าของมันดีจริง ถึงจริง งานออกแบบสวยสะดุดตาจริง ๆ หากอยู่ในตลาดของ นิว เวสป้า ยังไงก็ได้ลุ้น

อะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์

สำหรับใครที่อยากจะลองสร้างแบรนด์ อยากรังสรรค์ของแต่งมอเตอร์ไซค์ด้วยงาน CNC ผ่านเทคโนโลยีระดับสูงซึ่งทาง พี-วัฒน์ ก็มีให้บริการ พร้อมให้คำปรึกษาโดยช่างชำนาญการ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยจำนวนเท่าไหร่ ดีไซน์แบบไหน ของเรานั้นไม่มีจำกัดจำนวนขั้นต่ำ ลองสอบถามกันเข้ามาเพื่อขอใบเสนอราคากันได้ตลอดเวลาทำการ ไม่แน่ว่า… บางทีความชอบของคุณอาจะเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่จะเข้ามาเขย่าวงการแบบ Maru’s Factory ก็ได้นะ!