รถ EV คือ อะไร ? เตรียมตัวอย่างไร หากคุณอยากใช้ รถยนต์ไฟฟ้า

รถ EV คือ

รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่เราต่างคุ้นเคยกันในชื่อ EV (Electric Vehicle) เทคโนโลยีเปลี่ยนโลที่เข้ามาสั่นสะเทือนทุกวงการในเชนอุตสาหกรรม โรงกลึง พีวัฒน์เองก็เกาะติดเทคโนโลยีนี้มาตลอดเช่นกัน และเพื่อไม่ให้ตกขบวน วันนี้เราจะพากันไปทำความรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับเจ้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าคนส่วนใหญ่จะหันมาเลือกใช้ รถ EV กันเพิ่มมากขึ้น เพราะมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างมลพิษ และยังช่วยประหยัดพลังงาน รวมไปถึงมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่น้อยกว่ารถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปอีกด้วย ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จัก “รถ EV คือ อะไร” “มีกี่ประเภท” และหากต้องการซื้อรถ EV มาใช้งานควรมีการ “เตรียมตัวในเรื่องไหนบ้าง”

รถ EV คือ
Image by Freepik

นวัตกรรมรถแห่งโลกอนาคต รถ EV คือ อะไร

รถ EV คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาขับเคลื่อนแทนการใช้น้ำมัน และไม่ต้องใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือใช้เชื้อเพลิงภายนอก ซึ่งในส่วนของระบบไฟฟ้านั้นจะมีการเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ที่ชาร์จได้ จากนั้นระบบไฟฟ้าจะทำการแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่ที่เก็บไว้ออกมาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ และเนื่องด้วยรถ EV ไม่มีระบบกลไกในการทำงานที่ซับซ้อนเหมือนรถยนต์น้ำมัน จึงทำให้เครื่องยนต์นั้นเงียบ ไม่มีไอเสียช่วยลดมลภาวะเป็นอย่างมาก ที่สำคัญยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากเลยทีเดียว รวมไปถึงการดูแลรักษาก็ทำได้ง่ายมากๆ อีกด้วย และนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รถ EV นั้นกำลังมาแรงและมีแนวโน้มที่จะมีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ไขข้อข้องใจรถ EV มีกี่ประเภท

ในปัจจุบันนี้รถ EV มีการแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามระดับของเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งในแต่ละระดับของเทคโนโลยีนั้น จะมีการแบ่งประเภทออกดังนี้

  1. รถยนต์ไฮบริด Hybrid Electric Vehicle หรือ HEV : รถยนต์ประเภทนี้จะมีการทำงานขับเคลื่อนร่วมกันระหว่าง เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟได้ การทำงานระบบนี้จะเปลี่ยนจากพลังงานจลน์ของเครื่องยนต์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วถูกนำมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ จึงทำให้รถ EV ประเภทนี้มีอัตราการใช้เชื้อเพลิงที่ต่ำกว่าเครื่องรถยนต์ระบบเดียว
  2. รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ PHEV : รถยนต์ประเภทนี้จะมีระบบการทำงานคล้ายๆ กับรถยนต์ไฮบริด แต่จะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างก็คือ จะสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ และในขณะที่ชาร์จไฟรถก็ยังสามารถวิ่งในระยะทางที่ไกลกว่าระบบไฮบริด อีกทั้งยังสามารถเก็บประจุไฟเพิ่มได้ตามที่ต้องการอีกด้วย และถ้าหากแบตเตอรี่หมดลงระบบก็จะมีการทำงานเหมือนกับรถยนต์ไฮบริด
  3. รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ Battery Electric Vehicle หรือ BEV : รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะมีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน และต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ สำหรับระยะทางการวิ่งก็มีข้อจำกัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่และเส้นทางที่ใช้เดินทางด้วย
  4. รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง Fuel Cell Electric Vehicle หรือ FCEV : รถยนต์ประเภทนี้จะมีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ แต่จะมีความแตกต่างตรงที่ รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะใช้เซลล์เชื้อเพลิงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า จึงช่วยลดมลพิษได้เป็นอย่างดี
รถ EV คือ
Image by Freepik

มือใหม่หัดขับ มีวิธีการเตรียมตัวก่อนซื้อรถ EV อย่างไร

การเลือกซื้อ รถ EV นั้น นอกจากจะต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเภทของรถ EV การใช้งาน หรือการดูแลรักษาแล้ว ก็ยังต้องคำนึงอีกหลายเรื่องดังนี้

  • ระยะทางการใช้งานที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพราะรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะมีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงทำให้ระยะเวลาในการใช้งานค่อนข้างจำกัด ดังนั้นการเลือกซื้อจึงจำเป็นต้องดูความจุของแบตเตอรี่ว่าการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งในระยะทางสูงสุดที่เท่าไหร่
  • ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จจากในบ้าน หรือตามสถานีชาร์จก็ตาม ควรพิจารณาว่าการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเดินทางได้ไกลเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากชาร์จแบตเตอรี่ในบ้าน หรือที่พักอาศัยจะมีระยะเวลาในการชาร์จที่นานกว่าการชาร์จตามสถานี
  • การติดตั้ง EV Charger ในที่พักอาศัย ควรพิจารณาในเรื่องของขนาดมิเตอร์ว่าสามารถรองรับกำลังไฟสูงสุดได้เท่าไหร่ ทั้งนี้อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของเครื่องวัดให้เป็นแบบ TOU ควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้น
  • งบประมาณที่ต้องใช้ในเรื่องต่างๆ เช่น ค่าประกัน ค่าภาษี ค่าตรวจสภาพ ค่าบำรุงรักษา หรือค่าไฟฟ้าที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือน ควรคำนึงถึงงบที่มีในกระเป๋าด้วยว่าเพียงพอ หรือมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากน้อยเพียงใด
  • พิจารณาเลือกซื้อรถ EV กับแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในส่วนของบริการหลังการขาย เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าในประเทศไทยนั้น การใช้รถ EV เป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ หากตัดสินใจเลือกซื้อกับแบรนด์ที่เชื่อถือได้ก็จะได้รับความสะดวก สบาย สามารถใช้งานรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รถที่จะเปลี่ยนโลกมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น

มาถึงตรงนี้ทุกคนคงเข้าใจดีแล้วว่ารถ EV คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งนำมาขับเคลื่อนแทนการใช้เชื้อเพลิงภายใน ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังลดมลภาวะเพราะไม่มีไอเสียจากการเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิง รวมไปถึงเครื่องยนต์เงียบไม่มีเสียงดังรวบกวนอีกด้วย สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเลือกซื้อรถ EV ควรคำนึงในเรื่องต่างๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง EV Charger หรืองบประมาณใช้จ่าย รวมไปถึงระยะเส้นทาง และข้อจำกัดในการใช้งาน ข้อสำคัญเลยก็คือ ควรพิจารณาเลือกซื้อกับแบรนด์ที่เชื่อถือได้ จึงจะทำให้สามารถใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 

รถ EV คือ
Image by freepik

รวมวิธี ประหยัดพลังงาน ในออฟฟิศ ทำได้ไม่ยาก คนละไม้ คนละมือ

ประหยัดพลังงาน

ออฟฟิศเป็นสถานที่รวมตัวของคนวัยทำงาน และแน่นอนว่าการทำงานในออฟฟิศย่อมมีการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิด ที่ส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งตามมาด้วยค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้น หนีไม่พ้น.. ว่าผลที่ตามมาคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมในแง่ลบอย่างหลักเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย ถ้าคุณที่เป็นเจ้าของโรงงาน โรงกลึง เจ้าของกิจการ หัวหน้างาน หรือแม้แต่พนักงานเองก็ตาม ซึ่งใครก็ได้ที่ตระหนักในเรื่องของการลดโลกร้อน การช่วยกัน ประหยัดพลังงาน มีใจสาณารณะที่อยากจะช่วยโลกให้น่าอยู่มากขึ้น การมาช่วยกันรณรงค์เพื่อการประหยัดพลังงานในออฟฟิศ หรือในที่ทำงาน นับเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ ที่จะช่วยดูแลโลกของเราให้น่าอยู่มากขึ้น

และบทความนี้จะนำเสนอวิธีการประหยัดพลังงาน ซึ่งหากคุณเป็นเจ้าของกิจการหรือคนที่กำหนดนโยบายของบริษัทได้ คุณก็อาจจะนำไอเดียไปต่อยอดให้สอดคล้องกับนโยบายบริษัท แต่หากคุณเป็นพนักงาน คุณเองก็ช่วยเหลือได้ในจุดเล็ก ๆ คนละไม้คนละมือ เพื่อโลกของเรา

ประหยัดพลังงาน
Image by rawpixel.com on Freepik

7 วิธี ประหยัดพลังงาน ในออฟฟิศ เซฟค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

วิธีที่จะแนะนำเกี่ยวกับ ประหยัดพลังงาน จะเป็นวิธีที่เหมาะที่จะใช้ในออฟฟิศเป็นอย่างมาก และเชื่อเลยว่าหลาย ๆ คนอาจจะปล่อยปละละเลย หรือนึกไม่ถึงว่าสามารถทำตามวิธีเหล่านี้ได้ด้วย หรือหากใครที่ใช้กับที่บ้านเป็นประจำก็สามารถนำมาปรับใช้กับที่ออฟฟิศได้ เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาตามไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าว่า 7 วิธีในการประหยัดหลังงานหรือค่าไฟในออฟฟิศสามารถทำได้อย่างไรบ้าง

1. ปิดสวิทซ์ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าหลังการใช้งาน

การปิดสวิทซ์และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าหลังการใช้งานทุกประเภทจะเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการเปิดสวิทซ์หรือถอดปลั๊กไว้ตลอดเวลาก็เท่ากับว่าคุณกำลังใช้ไฟอยู่ ค่าไฟก็จะพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ที่ต่อให้แม้จะปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วก็ตาม ถึงจะ ประหยัดพลังงาน ได้บ้าง แต่ไม่สามารถปิดการใช้งานได้ทั้งหมดนั่นเอง

ประหยัดพลังงาน
Image by Freepik

2. ใช้หลอดไฟ LED ในการให้ความสว่าง

การเลือกใช้หลอดไฟ LED ที่มีความสว่างแบบแสงสีขาว จะสามารถให้ความสว่างได้มากกว่าปกติกว่าหลอดไฟชนิดอื่นๆ ที่สำคัญตัวหลอดไฟยังผลิตมาเพื่อประหยัดพลังงานโดยเฉพาะ ดังนั้นออฟฟิศของคุณหากต้องการประหยัดค่าไฟที่สามารถประหยัดได้มาก การเลือกใช้หลอดไฟชนิดนี้เป็นคำตอบที่ดีที่สุด ในส่วนของด้านความปลอดภัยหรือการพังเสียหายมีโอกาสน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับหลอดไฟชนิดอื่น ๆ

3. เดินขึ้น – ลงบันได้ 1-2 ชั้น แทนการใช้ลิฟต์

การขึ้นลงบันได 1 – 2 ชั้น แทนการใช้ลิฟต์ก็สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะลิฟต์จะมีฟังก์ชันการใช้งานส่วนใหญ่คือกดใช้งานหนึ่งครั้งก็ค่าไฟสามารถขึ้นได้ 1 ที และระหว่างที่ไม่มีใครใช้งานตัวลิฟต์ก็จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานได้ ดังนั้นการขึ้นลงเพียงชั้นเดียวและทำบ่อย ๆ จะทำให้ค่าไฟสูงขึ้นมาก ดังนั้นการเดินขึ้นลงบันไดแทนจึงเป็นทางออกที่ดี

4. ปรับแอร์ที่อุณหภูมิ 25 – 26 องศา 

การปรับแอร์ที่อุณหภูมิ 25 – 26 องศา ตามคำแนะนำของกรมไฟฟ้าจะสามารถประหยัดพลังงาน หรือประหยัดพลังงานได้จำนวนมหาศาล และถ้าออฟฟิศของคุณต้องการควบคุมอุณหภูมิที่สามารถเหมาะกับคนหลาย ๆ คนได้ คือไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป การเลือกปรับแอร์ที่อุณหภูมิที่ 25 – 26 องศา ถือว่าเป็นอะไรที่ดีที่สุด เพราะบางคนหากปรับแอร์ที่อุณหภูมิที่ 22 – 23 องศาก็จะเริ่มหนาวแล้วนั่นเอง

5. ทุกพักเที่ยง ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ

ทุกพักเที่ยงปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ เพื่อเป็นการพักการใช้งานไม่ให้ทำงานหนักเกินไป ไม่ว่ะจะเป็นไฟในที่ทำงาน แอร์ในที่ทำงาน คอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน เป็นต้น เพราะถ้าหากเปิดต่อเนื่องจะยิ่งทำให้ค่าไฟสูงมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานหนักมากขึ้น ซึ่งอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้อาจจะลดลงได้ ดังนั้นเมื่อพักเที่ยงอย่างน้อยก็ควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าสัก 1 ชั่วโมง ถือว่าเป็นเวลาที่กำลังดีในการพัก

6. เข้างานตรงเวลา – เลิกงานตรงเวลา

ใครหลายคนอาจจะสงสัยว่าการเข้างานตรงเวลา – เลิกงานตรงเวลาจะสามารถประหยัดพลังงานได้อย่างไร ต้องบอกเลยว่าสามารถประหยัดพลังงานได้มหาศาล เพราะการเข้างานตรงเวลาเท่ากับว่าเราจะเปิดแอร์ เปิดไฟ เปิดคอมพิวเตอร์ในเวลาเริ่มงานพร้อม ๆ กัน ก็คือมีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และเมื่อถึงเวลาเลิกงานก็ปิดพร้อม ๆ กัน ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟ ลองนึกภาพถ้าหากบริษัทมีการทำล่วงเวลาไฟก็ต้องเปิด แอร์ก็ต้องเปิดเพื่อคนไม่กี่คน ทำให้ค่าไฟสูงขึ้นมาได้นั่นเอง

ประหยัดพลังงาน
Image by Freepik

7. เคลียร์ของในตู้เย็นออกสม่ำเสมอ

บางออฟฟิศจะมีตู้เย็นให้พนักงานแช่ของไว้ทาน ซึ่งส่วนมากพนักงานก็มักจะเอาของมาแช่สุดท้ายแล้วลืมทานจนเน่าไปเลยก็มี และก็จะเอาของใหม่ ๆ เข้าแทรกเรื่อย ๆ ยิ่งของแน่นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ตู้เย็นทำงานหนัก จนส่งผลให้ค่าไฟพุ่งได้อย่างไม่รู้ตัว วิธีการแก้คือให้เขียนชื่อเจ้าของของในตู้เย็น พอถึงวันหมดอายุก็ให้เคลียร์ออก ทำแบบนี้เรื่อยๆ ตู้เย็นก็จะไม่แน่นจนเกินไป และจะสามารถ ประหยัดพลังงาน

เริ่มต้นวันนี้ ช่วยโลกวันหน้า ทำได้ง่าย ๆ ให้เป็นนิสัย

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้หวังว่าทุก ๆ คนคงจะได้วิธีประหยัดพลังงานในออฟฟิศนำกลับไปใช้ ซึ่งบอกว่าทำได้ง่ายมาก ๆ เพียงแต่ต้องทำเป็นนิสัย ทำให้สม่ำเสมอ ก็จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีในการประหยัดพลังงานได้อย่างแน่นอน ซึ่งในจุดนี้สามารถเริ่มต้นได้จากระดับองค์กรเป็นแกนหลัก นำส่งแนวคิดสู่ผู้นำมาตลอดพนักงานที่ทำงานอยู่ในองค์กร เพื่อสร้างให้เป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำในทุกวันก็จะสามารถรักษ์โลกได้ในอนาคตไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

Cover Image : Image by Freepik