อนาคตที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ เครื่องจักร CNC

เครื่องจักร CNC

สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้ เครื่องจักร CNC และได้ติดตามอัพเดตข่าวสารอยู่เสมอ น่าจะพอระแคะระคายมาบ้างแล้วว่าการใช้เครื่องจักรแบบเก่าอย่างเดียวกับอุตสาหกรรมนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

ด้วยอนาคตของการผลิตประเภทนี้นั้นมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น รวมถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดจนเรื่องของความต้องการด้านเวลาในการผลิต และแรงกดดันเรื่องต้นทุน ทั้งหมดล้วนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบรรลุความยืดหยุ่นในการผลิต ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ

โดยเราสรุปอนาคตที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักร CNC เป็น 5 ประเด็นสำคัญที่จะพูดถึงผ่านเนื้อหาด้านล่างได้ดังนี้

  • เปลี่ยนไปใช้การผลิตแบบ “High-Mix, Low-volume”
  • เน้นใช้งานเครื่องจักร CNC อเนกประสงค์เพื่อให้จบครบในเครื่องเดียว
  • เน้นระบบอัตโนมัติ CNC รวมถึงกระบวนการสนับสนุนต่าง ๆ 
  • ใช้งานซอฟต์แวร์วางแผนการผลิตและจัดการทรัพยากรเพื่อให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างเต็มที่
  • ดำเนินรอยตาม “Mega Trend” (แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ) ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมนี้ เน้นเรื่องของการสร้างฐานการผลิตใหม่ และความพร้อมใช้งานของแรงงานเป็นตัวกำหนด
เครื่องจักร CNC
Image by onlyyouqj on Freepik

ทบทวนอนาคตครบทั้ง 3 ภาคส่วนของอุตสาหกรรม CNC

ก่อนที่จะไปวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณเอง สามารถทบทวนลักษณะและแนวโน้มของการผลิต CNC ในอนาคตทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งหมด ผู้ผลิตรายบุคคล และพื้นที่ส่วนของโรงงาน ซึ่งแนวโน้มส่วนใหญ่มีผลกระทบในหลายระดับนอกเหนือจากที่กล่าวผ่านเนื้อหาทั้งสามสิ่งนี้

อุตสาหกรรมการผลิต

ความยั่งยืนมีความสำคัญพื้นฐานสำหรับอนาคตของโลกและมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ซึ่งความยั่งยืนในหลักสากลสามารถสรุปได้เป็นสามมุมมองที่สำคัญ หรือที่เรียกกันว่า “Triple-P” ประกอบด้วย ผู้คน (People), โลก (Planet) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) 

ภาคของอุตสาหกรรมการผลิตนั้นต้องการประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่สูงขึ้น การผลิตที่ตรงเวลามากขึ้น การปล่อยของเสียน้อยลง และนำเอารูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาใช้ เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยลดการปล่อย CO2 ซึ่งการพัฒนาสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีการนำระบบอัตโนมัติที่ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น แถมยังทำให้การผลิตมีความหมาย มีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

เครื่องจักร CNC
Image by kjpargeter on Freepik

คำกล่าวถึงการเพิ่มระดับของระบบอัตโนมัติที่บอกว่าเห็นได้ชัด สามารถพิสูจน์ได้ด้วยรายงานจาก IFR (International Federation of Robotics) ซึ่งมีข้อมูลแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการติดตั้ง “แขนหุ่นยนต์” เฉลี่ยต่อปีประมาณ 6% และเพื่อให้มองภาพของการเติบโตนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีการเปิดเผยตามข้อมูล IRF เศรษฐศาสตร์ของอ็อกซ์ฟอร์ด ได้สรุปโดยสมมติว่าอัตราการใช้หุ่นยนต์นั้นเร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับพื้นฐานทั้งหมดอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่า 4.9 ล้านล้านยูโร หรือ 5.3% ของ GDP โลกในปี 2030!

เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบอัตโนมัติไม่ได้แพร่หลายเฉพาะในแง่ของอัตราการทำงานอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งนี้ครอบคลุมถึงการวางแผนการผลิต ซึ่ง IFR ได้ให้ความสำคัญและมองว่านี่เป็นหนึ่งใน Mega Trend ในอนาคตอันใกล้นี้ จากข้อมูลทั้งหมดสามารถนำมาปรับใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดกับโรงกลึงที่ต้องใช้เครื่องจักร CNC ของคุณได้

บริษัทผู้ผลิต

ข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้ผลิตทางอุตสาหกรรมและความโปร่งใสของการเชื่อมต่อระหว่างโรงงานที่มากขึ้น นำมาสู่การผลิตแบบ “High-Mix, Low-volume”

เครื่องจักร CNC
Image by liuzishan on Freepik
  • เพิ่มการปรับแต่งและตัวแปร : ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีความซับซ้อนมากขึ้นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของชิ้นงานในการผลิตก็สั้นลงและมีความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อต้องรวมกับระยะเวลารอคอยสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการในการผลิตต้องผสมผสานประสิทธิภาพเข้ากับความยืดหยุ่นและมีความโปร่งใส
  • การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในตลาด : ความหมายของสิ่งนี้อาจหมายถึงความผันผวนของอุปสงค์โดยรวมหรือการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมที่ต้องการ “การปรับตัว” อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้ต้องการความยืดหยุ่นในการผลิต รอบการวางแผนที่สั้นลงอาจเกิดจากสาเหตุตามสัญญา หมายความว่าทั้งร้านขายเครื่องจักรหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะผลิตอะไรหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก
  • ข้อกำหนดด้านคุณภาพและการตรวจสอบย้อนกลับมีความต้องการมากขึ้น : ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ แต่ในอุตสาหกรรมการสร้างเครื่องจักรโดยทั่วไป ก็โดนความกดดันในเรื่องการลดต้นทุนอยู่เสมอ ทำให้ต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรจากการผลิตและการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
  • โรงงานมีการเชื่อมต่อระหว่างกันมากขึ้น : เนื่องจากการผลิตมักจะเกิดขึ้นในเครือข่ายบางแห่ง ความโปร่งใสและการแบ่งปันข้อมูลจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น ในโลกของการผลิตที่มีการเชื่อมต่อกัน การเปิดใช้งานโดยซอฟต์แวร์เพื่อดำเนินการผลิต เราสามารถรู้ได้ทันทีเมื่อชิ้นส่วนที่จำเป็นในการผลิตมาถึง เรียกว่ารู้โดยไม่ต้องเสียเวลาสอบถาม สามารถเช็คหลาย ๆ กระบวนการได้จากซอฟต์แวร์

เครื่องจักร CNC และพื้นที่การผลิต

ปัจจุบันนี้ เครื่องจักร CNC อเนกประสงค์เป็นที่นิยมอย่างมาก สนับสนุนการรวบรวมข้อมูล และระบบกระบวนการ มีซอฟต์แวร์การวางแผนการผลิต ช่วยให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเน้นย้ำเรื่องของการ “จบงานในเครื่องเดียว” ส่งผลให้เครื่องจักรอเนกประสงค์กลายเป็นสิ่งฮอตฮิต การใช้งานสิ่งนี้หมายความว่ากระบวนการตัดเฉือนนั้นเสร็จสมบูรณ์ได้โดยใช้การจับยึดที่น้อยลง และมักจะอยู่ในเครื่องเดียวกัน เช่น เครื่องกลึง เครื่องกัด ที่มี 4 หรือ 5 แกน สามารถตอบสนองความต้องการในการออกแบบชิ้นงานมากขึ้น และตัดสินใจเลือกวิธีการผลิตที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำกว่าที่เคย

เครื่องจักร CNC
Image by usertrmk on Freepik

การรวมหลาย ๆ อุปกรณ์เพิ่มเติมในเครื่องเดียวที่สนับสนุน CNC Machining เช่น การล้าง การวัด การทำเครื่องหมาย การตกแต่ง และอื่น ๆ ได้ถูกรวบรวมเข้ากับระบบอัตโนมัติเพื่อผลผลิตและกำลังผลิตที่สูงขึ้น มีกระบวนการที่มีเสถียรภาพมากขึ้น จัดการสิ่งที่ซับซ้อน ทั้งหมดนี้สั่งการได้ด้วยซอฟต์แวร์ 

ความท้ายทายในการวางแผนการผลิตและการจัดการทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของข้อมูล การทำงานร่วมกันระหว่างคน ซอฟต์แวร์ และเครื่องจักร จำเป็นต้องมีตัวเชื่อมที่มีประสิทธิภาพ สำหรับบทบาทดังกล่าวก่อนหน้านี้จะเป็น Excel แต่ปัจจุบันก็ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดีเท่ากับซอฟต์แวร์การวางแผนการผลิตเฉพาะทาง

ระบบอัตโนมัติ CNC อัจฉริยะ คืออนาคต?

ทุกความไม่แน่นอนในอนาคตสามารถจัดการได้ “ด้วยการวางแผน” การมีเครื่องมือที่ดี มีมายด์เซตต่อเรื่องนั้น ๆ ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องของอุตสาหกรรม CNC สิ่งที่เหมาะสมและจำเป็นคือ “ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ” โดยสิ่งนี้สามารถรวบรวมประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวทางกายภาพ เข้ากับกระบวนการการวางแผนการผลิต เกิดเป็นการผลิตแบบผสมผสาน มีความหยืดหยุ่น สั่งการได้จากทุกที่บนโลก เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ไปตลอดกาล 

สุดท้ายยังคงไว้ซึ่งหลักความยั่งยืนสากล “Triple-P” สมดุลสำคัญครบ ทั้ง โลก ผู้คน และผลกำไร…

Cover Image : Image by Freepik

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : FASTEMS

เทรนด์ “Robotics” ปี 2023 รู้ไว้.. ปรับใช้ ยกระดับธุรกิจคุณได้!

Robotics

เผลอแปปเดียวก็จะเปลี่ยนปีปฏิทินกันอีกแล้ว นี่ก็เข้าสู่หน้าหนาว แต่ก็เป็นหนาวแบบประเทศไทย ที่ต้องถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “นี่หน้าหนาวแล้วแน่นะวิ…” และเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด ธุรกิจใดก็ตามแต่ การเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น พัฒนาขึ้น ล้วนเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ จริง ๆ ต้องบอกว่าจำเป็นเลยล่ะหากคุณอยากจะยกระดับธุรกิจ เรื่องของ “เทรนด์” เป็นสิ่งที่ต้องเกาะติดอยู่เสมอ และขาดไมไ่ด้สำหรับชาวอุตสาหกรรมคือการอัพเดทความรู้เกี่ยวกับ AI หรือ Robotics

วันนี้โรงกลึงพีวัฒน์ขอแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับคาดการณ์ล่าสุดของแวดวงหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมไปแล้ว และด้วยความต้องการที่มากขึ้นของระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม (Industrial Automation) การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digitalization) ตลอดจนการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อการยึดโยงอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ให้กลายเป็นอีกหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญสู่การขับเคลื่อนธุรกิจแบบยั่งยืน ซึ่งก็เป็นแนวโน้มที่ได้ประเมินเอาไว้ก่อนหน้านี้ และการคาดการณ์ที่ว่านี้จะเป็นศึกษาเพื่อต่อยอด

#เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน

เกาะติดเทรนด์ Robotics วิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลสุดเดือด!

จากความต้องการดังกล่าว จึงเกิดเป็นการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อคาดการณ์เทรนด์ในปี 2023 ของวิทยาการหุ่นยนต์ โดยเป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 2,500,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งได้คลอดออกมาเป็น 8 อันดับแรก ดังที่ทุกคนจะได้อ่านต่อไปด้านล่างนี้!

1. Mobile autonomous robots

หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (Mobile autonomous robots) เข้ามาแทนที่ในส่วนของการผลิต เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่มีความเสี่ยงต่อบุคลากร เช่น สารเคมีที่เป็นพิษ บริเวณที่มีพื้นที่จำกัด และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก 

การใช้หุ่นยนต์ที่มีเซนเซอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และคอมพิวเตอร์วิชั่น ในการทำความเข้าใจาสภาพแวดล้อมได้ทันทีและทำงานได้ด้วยตัวเอง หรือจะเป็นเรื่องการตรวจสอบสต็อคและการจัดการวัสดุแบบอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น AMR ของคลังสินค้า ที่ใช้เป็นเครื่องสแกน ป้องกันเรื่องของขาดสต็อค แถมยังเพิ่มความเร็วในกระบวนการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในส่วนอื่น ๆ ของบุคลากรได้

2. Robots with Intelligence

หุ่นยนต์ที่มีความฉลาดสูง (Robots with Intelligence) นั้นมีความสามารถในการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และเพิ่มประสิทธิภาพงานได้ด้วยการผสานเข้ากับ AI โดยชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่มาแบบเรียลไทม์นี้ส่งผลให้หุ่นยนต์นั้นมีความแม่นยำและทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นเรื่องการรับรู้สภาพแวดล้อมและแยกวัตถุก็จะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้การนำทางทำได้อย่างอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

Robotics
Image by usertrmk on Freepik

3. Cobots

เรื่องของ โคบอทส์ (Cobots) นั้นเราเคยนำเสนอเปรียบเทียบกับ Robots แบบเต็ม ๆ ไปแล้ว โดยสิ่งนี้จะตรงข้ามกับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม เป็นหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน มีเซ็นเซอร์และอัลกอริธึมล้ำสมัย รับประกันพฤติกรรมที่ปลอดภัยเมื่อใช้ร่วมกับมนุษย์ในกระบวนการประกอบแบบอัตโนมัติได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมชิ้นส่วนและการเจาะรูด้วยสกรู ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเครื่องมือปลายแขน (EOAT) กล่าวคือ หุ่นยนต์เหล่านี้ช่วยในเรื่องของการยกวัตถุอันตรายแทนมนุษย์ได้ เช่น โลหะหนัก โพลีเมอร์ และวัสดุอื่น ๆ ที่มีน้ำหนักมาก

4. Robotics as a Service

ชื่อนี่อาจจะคุ้นหูคุ้นตากันมากหน่อย เพราะเป็นเทรนด์ Robotics ที่ได้รับการจับตาและมีการพัฒนาต่อเนื่องจากปี 2022 ซึ่งเราก็เคยพูดถึงไปแล้ว โดยการพัฒนาและบำรุงรักษาหุ่นยนต์เป็นขั้นตอนที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แถมยังใช้เวลานานอีกต่างหาก ในข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้องค์กรจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กยังไม่สามารถเข้าถึงการใช้หุ่นยนต์ได้ ทำให้บริการนี้ยังคงน่าสนใจสำหรับผู้เป็นเจ้าของกิจการสำหรับสร้างรายได้ ส่วนผู้เช่าที่สนใจทดลองใช้บริการของหุ่นยนต์ก็ไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อเป็นเจ้าของนั่นเอง

#เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน

5. Cyber Security Robotics

หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Robotics) เป็นวิทยาการที่มีเป้าหมายหลักสำหรับป้องกันการโจมทีทางโลกไซเบอร์ เนื่องจากการผสานรวมของ IoT และความต้องการการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การปกป้องโซลูชั่นหุ่นยนต์จากการเข้าถึงอย่างผิดกฏหมายก็เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยครอบคลุมเกือบทุกกระบวนการของอุตสาหกรรม ไมว่าจะเป็น การป้องกัน การผลิต การดูแล ตลอดจนสอดส่องพื้นที่ของโรงงานในการรักษาความปลอดภัย

Robotics
Image by upklyak on Freepik

6. Human-like robots

หุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ หรือ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid) นั้นคาดการณ์ว่าจะถูกใช้งานมากขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ได้รับความนิยมต่อเนื่องจากโรคระบาดที่ผ่านมา เอาที่แบบถูกหยิบมาใช้ชัดเจนเลย เช่น การทำความสะอาดแบบไร้สัมผัส และการส่งมอบต่าง ๆ ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังใช้ในการตรวจสอบโรงไฟฟ้า การบำรุงรักษา และการกู้คืนจากภัยพิบัติ ช่วยชีวิตบุคลากรจากสภาวะที่เป็นอันตราย โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ สามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตได้อีกด้วย

7. Automated Assisted Vehicles

ยานพาหนะยุคใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเป็นแม่แรงในกระบวนการขนส่ง โดยชื่อของสิ่งนี้เรียกว่า AGV เป็นยานพาหนะนำทางด้วยตนเอง สามารถใช้ได้ทั้งในคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานผลิต ซึ่งการเคลื่อนไหวของเจ้าสิ่งนี้จะถูกควบคุมโดยการผสมผสานระหว่างซอฟต์แวร์และระบบนำทางแบบเซ็นเซอร์ที่กำหนดเส้นทางเอาไว้ล่วงหน้านั่นเอง

8. Drones

ตอนนี้ตลาดของโดรนนั้นไปไกลมากแล้ว จากการพัฒนาด้วย Edge Computing, HPC และการเชื่อมต่อสำหรับการขนส่ง มีการปรับตามประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริง รวมถึงการเพิ่มลูกเล่นและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ความสามารถของโดรนนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้โดรนในการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืช พ่นยาฆ่าแมลง ณ สถานที่เฉพาะ ส่วนเรื่องของการติดตาม โดรนสามารถตดตามพืชผลได้แม่นยำ หรือจะเป็นการจับความเคลื่อนไหวของสัตว์เลี้ยงก็ทำได้เช่นกัน

Robotics
Image by rawpixel.com on Freepik

สัมผัสประสบการณ์โลกยุคใหม่ เลือกใช้ให้ตรงกับธุรกิจ

เรื่องของ Internet of Things (IoT) ที่ตอนนี้นั้นแพร่หลายอย่างมาก เรียกว่าเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญให้วิทยาการหุ่นยนต์รุดหน้าอย่างรวดเร็ว โดยผู้ที่มีความสามารถทางธุรกิจรวมถึงผู้ที่ต้องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทุกแขนงสู่โลกยุคใหม่ หากเลือกใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมจะได้รับประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ จากความเป็นอิสระและคุณภาพชีวิตในแง่ส่วนตัว 

ส่วนแง่ธุรกิจก็อย่างที่หลายคนทราบกัน ซึ่งคุณเองก็สามารถประเมินถึงอานุภาพของหุ่นยนต์ได้ผ่านเนื้อหาที่เรานำมาแบ่งปันกันในวันนี้ 

หากคุณอยากก้าวให้ทันหรือเร็วกว่าคนอื่น บอกเลยว่านี่เป็นเที่ยวบินสู่เส้นทางยุคใหม่ของอุตสาหกรรมที่เราไม่อยากให้คุณพลาดตกไฟลท์ที่สุดแล้ว!

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลเนื้อหาดี ๆ จากบทความเหล่านี้ :

https://emag.directindustry.com/2022/11/02/automation-trends-artificial-intelligence-cobots-agv-mobile-robots-predictive-maintenance/

https://www.automate.org/webinars/2023-industrial-automation-trends

https://www.automation.com/en-us/articles/august-2022/top-10-intelligent-automation-trends-look-2023

https://www.analyticsinsight.net/top-10-robotics-trends-and-predictions-to-lookout-for-in-2023/

Cover Image : Image by fullvector on Freepik

ส่องเทรนด์สำหรับผู้ผลิต เครื่องจักร CNC ปี 2023

เครื่องจักร CNC

ใกล้เวลาสิ้นปีแบบนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมพร้อมสำหรับก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ในส่วนของการทำงานหรือการปรับเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาก็ดี ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ก็ดี แต่ก่อนที่เราจะวางแผนเพื่อดำเนินไปยังเป้าหมายใหม่ ๆ ในปีหน้า สิ่งที่ต้องรู้เอาไว้นั้นคือเรื่องของ “เทรนด์” หรือแนวโน้มของสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องการจะโฟกัส และแน่นอนว่าวงการ เครื่องจักร CNC หรือ CNC Machining นี้ก็เช่นกัน

CNC Machining เทคโนโลยี นับแต่ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในคีย์แมนในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงตลาดของพวกเขาเองที่แต่ละปีจะมีการสร้างมาตรฐานในวิศวกรรมเครื่องกลเพื่อใช้ตรวจสอบปรับปรุงกระบวนการทั้งหลาย ด้วยขนาดตลาดมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และต่อไปนี้คือแนวโน้มที่บรรดาผู้สร้างนั้นพร้อมนำเสนอนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นต่อผู้ใช้งาน

เครื่องจักร CNC
Image by aleksandarlittlewolf on Freepik

เพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องจักร CNC “การผลิตแบบไฮบริด” (Hybridization of CNC-Manufacturing with additive Technologies)

ความคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 0.01 มม. คือตัวเลขที่เครื่องจักร CNC นั้นทำได้ ซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่ามันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนความแม่นยำของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ นั้นอยู่ที่ 0.1 มม. โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้สำหรับการขึ้นแบบพิมพ์เสียมากกว่า สุดท้ายค่อยจบงานด้วยเครื่องจักร CNC แบบต่าง ๆ

การผลิตแบบไฮบริดที่ว่านี้นั้นรวมทุกอย่างที่ เครื่องจักร CNC นั้นทำได้ นั่นก็หมายความว่าทั้งการกัดและการกลึงก็ทำได้ด้วยเทคนิคการเติมแต่งด้วยแบบพิมพ์ 3 มิติ อยู่ที่แต่ละธุรกิจนั้นจำเป็นต้องหาจุดลงตัวว่าต้องทำอย่างไรสำหรับการจับคู่ของสองสิ่งนี้ให้ออกมาทรงอานุภาพต่อองค์กรมากที่สุด

เครื่องจักร CNC
Image by fabrikasimf on Freepik

จากรายงานนั้นบอกว่าผู้ผลิตเครื่องจักรหลายรายนั้นยอมรับ “การผลิตแบบไฮบริด” แม้ว่าการตัดเฉือนแบบ CNC กับ แบบพิมพ์ชิ้นงาน 3 มิติ จะมีกระบวนการที่แตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาพบว่าการผนวกทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบนั้นสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

ติดตามการเติบโตของ MaaS (Manufacturing as a Service) กับ เครื่องจักร CNC

MaaS (Manufacturing as a Service) นั้นเรียกได้ว่าเพิ่งจะเริ่มแง้มประตูเข้าสู่ตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องจักร CNC แต่จากคาดการณ์ของกูรูนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า MaaS จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มีความคล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยเรื่องของค่าแรงที่ลดลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ยกตัวอย่างเช่น InstaWerk บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติเยอรมนี ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชั่น Manufacturing as a Service แม้ว่าตัวบริษัทนั้นจะอยู่ในประเทศเยอรมัน แต่ก็สามารถให้บริการทั่วโลกได้เป็นอย่างดี นอกจากความเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตชิ้นส่วนด้วยเทคนิค CNC แล้ว เรื่องของการคำนวณต้นทุนส่วนประกอบแบบทันทีทันใดด้วย MaaS ทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากการผลิตตามความต้องการ ตอบโจทย์ของลูกค้าผ่านมาตรฐานระดับสูงของบริษัทได้อย่างรวดเร็ว

การผลิตตามความต้องการพร้อมเสนอราคาทันที (On-Demand Manufacturing)

จริง ๆ เทรนด์นี้เป็นการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจากวิกฤติโควิด และรุดหน้ายิ่งขึ้นไปอีกด้วยสงความยูเครน โดยกลยุทธ์ในการผลิตที่เรียกว่า “การผลิตตามความต้องการ” หรืออีกคำที่เป็นสากลหน่อยก็ “การผลิตแบบคลาวด์ (Cloud Manufacturing)” พูดง่าย ๆ คือวิธีการผลิตตามความต้องการและจำเป็นเท่านั้น

เครื่องจักร CNC
Image by onlyyouqj on Freepik

คาดการณ์ว่าประโยชน์หลัก ๆ ที่บริษัทนั้นมองถึงความถึงแกร่งของธุรกิจแบบออนดีมานด์ และสามารถคาดหวังจากการผลิตได้มีดังนี้

  • ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตลดลง
  • เข้าถึงทรัพยากรทั่วโลกได้ง่ายกว่าเดิม
  • การดำเนินงานที่คล่องตัวเนื่องจากกระบวนการจัดซื้อนั้นมีความรวดเร็วมากขึ้นและความพร้อมของเครื่องจักรคุณภาพสูง ช่วยให้งานนั้นมีประสิทธิภาพสด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่หลากหลาย

หากเปรียบเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิม โรงงานต้องมีเครื่องจักร CNC ราคาสูง ต้องผลิตจำนวนทีละมาก ๆ และอาจต้องพึ่งพาพาร์ทเนอร์การผลิตในท้องถิ่น แต่การผลิตแบบออนดีมานด์นั้นช่วยลดการลงทุน มีการยืดหยุ่นสูง แถมยังเพิ่มความเร็วในการจัดซื้อได้อีกด้วย

การพัฒนาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งนี้ปกติก็เข้มงวดด้วยกฎระเบียบและข้อบังคับของรัฐบาลในแต่ละประเทศอยู่แล้ว แต่ผู้สันทันกรณีเห็นพ้องตรงกันว่าการพยายามครั้งใหม่ในปีที่จะถึงนี้ควรมีมาตรการที่จริงจังกว่าเดิมในเรื่องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากกระบวนการผลิตและซัพพลายเชนของคุณ

ยุคปัจจุบันมีลูกค้ามากมายที่นอกจากจะมีความต้องการสินค้าและการผลิตแล้ว ยังอยากได้บริการในลักษณะที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตด้วย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายและเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดกันต่อไปตลอดระยะเวลาที่เหลือว่าจะทำอย่างไรให้ความต้องการนี้นั้นดำเนินควบคู่ไปกับมาตรฐานของการผลิตภายใต้เทคโนโลยีเครื่องจักร CNC ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเจอปัญหาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนอยู่เสมอ

Image by Freepik

บริษัทผู้ผลิตจะต้องใช้ข้อมูลที่ได้จากซัพพลายเชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งนี้สูงสุด ต้องทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อประเมินว่ามีคาร์บอนหลงเหลือจากการผลิตของตัวเองมากน้อยแค่ไหน และยังสามารถติดตามได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ที่สำคัญหากมีการสำรวจวิธีใหม่ ๆ เพื่อรองรับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตรวมถึงกระบวนการขนส่งสินค้า รับรองว่ามีหลายบริษที่พร้อมประเมินตรงจุดนี้การใช้บริการแน่นอน

จากทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ นำนวัตกรรมผสมผสานสู่การทำงานจริง

เทรนด์ทั้งหมดที่ได้นำเสนอผ่านเนื้อหาในวันนี้ ไม่ใช่แค่ภารกิจของผู้ผลิตเครื่องจักร CNC เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงอุตสาหกรรมที่ข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ตลอดจนโรงงานทั้งหลายแหล่ การทำให้นวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้อย่างถูกกระบวนการ สร้างแนวโน้มและโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าพร้อม “รักษ์โลก” ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแบบผสม ความยั่งยืน หรือผลกระทบจากเครือข่ายระบบเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม นอกจากตามเทรนด์ และอัพเดตเทคโนโลยีใหม่ ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำและเริ่มต้นได้เลยตั้งแต่วันนี้!

Credit : ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://linchpinseo.com/industry-4-trends/

https://explodingtopics.com/blog/manufacturing-trends

https://explodingtopics.com/blog/manufacturing-trends

Cover Image : Image by bedneyimages on Freepik

ปลดล็อคสู่ความสำเร็จ การพัฒนาตนเองด้วยเทคนิค Time Boxing

การพัฒนาตนเอง

“เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด” เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินคำนี้ และก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคน “มีเท่ากัน” หากจัดสรรให้ดีสิ่งนี้ก็จะยิ่งทำให้เราได้รู้ว่าเวลามีมูลค่ามากขนาดไหน ในแวดวงของธุรกิจนั้น ผู้บริหารมักให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก-ใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรม โรงกลึง แต่สำหรับในระดับบุคคลนั้นเราก็สามารถบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเราเองได้เช่นกัน ซึ่งหากทำได้ดี สิ่งนี้ก็จะเอฟเฟกต์ไปสู่สเกลที่ใหญ่กว่าอย่างองค์กรที่เราอยู่ รวมถึงการที่เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความเป็นมาของ Time Boxing

เทคนิคการพัฒนาตนเองอย่างนึงสำหรับการบริหารเวลา รู้จักกันในชื่อสากลว่า “Time Boxing” ซึ่งคนที่ทำให้รู้จักเป็นวงกว้าง คือ เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) นั่นเท่ากับว่าผู้คนได้เริ่มใช้หลักการนี้มาเป็นศตวรรษแล้ว แต่ก็มีอีกแหล่งนึงที่บอกว่าชื่อนี้ได้มาจากเรียงความของ ซีริล นอร์ธโคต พาร์คินสัน (Cyril Northcote Parkinson) ที่ตีพิมพ์บน The Economist เมื่อปี 1995 จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้มีผู้คนมากมายนั้นเริ่มเห็นความสำคัญของเทคนิคนี้ โดยมองว่า “งานทุกอย่างสามารถขยายไปจนเต็มเวลาได้จนกว่าจะเสร็จ” ซึ่งมันน่าจะโอเคกว่านี้หากมีการจำกัดเวลาที่เหมาะสมของแต่ละงานอย่างพอดี

การพัฒนาตนเอง

ประโยชน์ของการบริหารเวลา

เป็นเทคนิคพื้นฐานที่คนประสบความสำเร็จนั้นเลือกใช้กัน อย่างที่กล่าวอยู่เสมอว่าหากมีการจัดสรรกรอบเวลาเฉพาะให้แต่ละงานและเน้นเฉพาะงานนั้นในช่วงเวลาที่กำหนด นอกจะแบ่งส่วนที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้แล้ว เราอาจจะได้งานที่ทรงประสิทธิภาพจากการโฟกัสอีกด้วย

  • ช่วยให้คุณวางแผนระหว่างวันได้อย่างรอบคอบ การที่หลายคนละเลยการวางแผนงานในแต่ละวันอย่างเหมาะสม อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
  • ช่วยให้คุณแน่ใจได้ว่ากำลังใช้เวลากับการทำงานอย่างมีประสิทธิผล และมุ่งเน้นจัดสรรให้กับงานที่สำคัญที่สุดของคุณในแต่ละวันอย่างเป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน
  • ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการกำหนดนเส้นตายที่เข้มงวดในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังทำให้คุณไม่ใช้เวลากับงานไหนมากเกินความจำเป็น
  • ช่วยให้คุณมีสมาธิกับแต่ละงานได้มากกว่าเดิม จดจ่อได้มากกว่าเดิม ยิ่งหากคุณเข้มงวดกับกระบวนการนี้ จะทำให้คุณทำงานเสร็จอย่างแน่นอนในแต่ละเซสชั่น
  • ช่วยให้คุณประเมินระยะเวลาของสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เรียกว่านี่น่าจะเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมในการเมินแล้วว่างานแต่ละงานนั้นใช้เวลาแค่ไหน 
  • การมีกรอบของเวลากำหนดเอาไว้ บังคับให้ตัวเองต้องหยุดเมื่อหมดเวลา นอกจากจะอธิบายว่าแต่ละงานนั้นกินเวลาเท่าใดถึงเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้คุณแพลนชีวิตแต่ละวันล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนาตนเอง

7 สเตป เทคนิคบริหารเวลาเบื้องต้น

  1. ตรวจสอบงานของคุณ : เริ่มจากทำรายการ “สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ” ออกมาก่อน จะใช้ทำเป็นแบบรายสัปดาห์ หรือรายเดือนก็แล้วแต่ เรียงลำดับความสำคัญแล้วค่อยวางแผนจัดทำรายการตามกรอบเวลาในแพลนของคุณ
  2. เลือกโฟกัสทีละงาน : เมื่อมีกรอบเวลาแน่ชัดแล้วให้เลือกทำไปทีละงานแบบเต็มที่ 100% โดยส่วนใหญ่แล้วจะเลือกงานที่สำคัญสุดในรายการก่อน
  3. กำหนดเป้าหมายชัดเจน : ระบุวัตถุประสงค์ของงานและกำหนดด้วยว่าคุณจะทราบได้อย่างไรเมื่อเสร็จสิ้น พยายามทำรายการสิ่งที่ต้องให้เสร็จสิ้นตามเป้าให้ได้
  4. จัดสรรเวลา / จำกัดเวลา : สิ่งที่คุณต้องท่องเอาไว้เลย “เวลาทำงานจะขยายตามกรอบเวลาที่มี” ดังนั้น คุณต้องกำหนดเวลาอย่างเข้มงวดสำหรับแต่ละรายการ พยายามทำให้สั้นลงที่สุด แต่ก็ต้องสมเหตุสมผลด้วย
  5. ทำซ้ำขั้นตอนที่ 2-4 : ในทุก ๆ งานใช้สเตป 1-4 ในการจัดสรร แล้วแบ่งไปในแต่ละวันให้ครบตามเป้าหมายสุดท้ายที่คุณได้แพลนเอาไว้ทั้งหมด 
  6. ดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด : ทำทุกสิ่งตามแพลนที่กำหนดให้ได้แบบ 100 เปอร์เซนต์ เสร็จเร็วกว่ากำหนดได้แต่ไม่ควรช้ากว่า เพราะจะกระทบทุกรายการที่เหลือเป็นทอด ๆ
  7. ตั้งเวลาชัดเจน และ จัดการสิ่งรบกวน : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้จัดสรรอย่างดี และมีการตั้งเวลาอย่างชัดเจนในแต่ละงาน ที่สำคัญเลยคุณจำเป็นต้องจัดการสิ่งรบกวนที่อาจทำให้ถูกขัดจังหวะระหว่างงานอย่างจริงจังด้วย

เมื่อทำครบตามสเตปนี้ เพื่อให้แนวทางการพัฒนาตนเองได้ผลสัมฤทธิ์อย่างชัดเจน คุณควรประเมินผลลัพธ์หลังสำเร็จภารกิจด้วย โดยให้ประเมินตามความเป็นจริงที่สุด เพื่อที่จะได้ปรับปรุงการประมาณเวลาในอนาคตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้นเรื่อย ๆ

การพัฒนาตนเอง

ทำไมเราถึงควรใช้เทคนิคบริหารเวลา ?

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มคิดตามว่า เทคนิคการพัฒนาตนเองนี้เหมาะกับเรามั้ย ต้องเป็นคนประเภทไหน ระดับไหน ถึงใช้เทคนิคนี้ได้ ถ้ากำลังกังวลอยู่ เลิกคิดได้เลย ! เพราะสิ่งนี้มันแทบจะเป็นหลักการอันเป็นประโยชน์แบบสากลที่ใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างบุคคล 2 ประเภทที่ “จำเป็น” และส่วนใหญ่ก็ใช้กันอยู่แล้ว คือ บรรดาโปรเจกต์เมเนเจอร์ กับ ผู้นำองค์กรทั้งหลาย อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในตอนต้นนั่นแหละ

เอลอน มัสค์ (Elon Musk) กล่าวไว้ว่า “หากคุณให้เวลาตัวเอง 30 วันในการทำความสะอาดบ้าน มันก็จะใช้เวลา 30 วัน แต่ถ้าคุณให้เวลาตัวเอง 3 ชั่วโมง มันก็จะใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น” นี่คือประโยคทองของหัวเรือใหญ่เทสลาและโครงการสุดล้ำอีกมากมายที่ถูกนำมารีรันบ่อยที่สุด และน่าจะสื่อถึงความสำคัญของสิ่งนี้ได้ภายในโควทเดียว… 

แถมในตอนท้าย ! หากใครสนใจ หลักสูตร การพัฒนาตนเอง การบริหารเวลา ค้นหาคอร์สอบรมได้เพิ่มเติมได้ที่ aobrom.com

เทรนด์ “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ประจำปี 2022 ตัวช่วยยกระดับธุรกิจแห่งโลกอนาคต

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

เหมือนเคยพูดถึงเรื่องหุ่นยนต์มาบ้างแล้ว แต่สิ่งที่จะนำมาเสนอวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์ “ล่าสุด” ของอุตสาหกรรมนี้ ต้นสายปลายเหตุมาจากความว้าวจากรายงานที่ว่า “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ทำสถิติใหม่ประมาณ 3 ล้านหน่วยทั่วโลก เป็นการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 13% ในแต่ละปี นับตั้งแต่ ค.ศ. 2015-2020

จากตัวเลขดังกล่าว สหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติได้วิเคราะห์แนวโน้ม ที่ทำให้อุตสาหกรรมประเภทนี้รวมถึงระบบอัตโนมัติทั่วโลก ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ เอาไว้อย่างน่าสนใจโดย ประธานสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ มิลตัน เกอร์รี่ ได้พูดถึงเรื่องนี้สั้น ๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทั้งอุตสาหกรรมดั้งเดิม หรือแบบใหม่ เป็นเพราะหลายบริษัทนั้นเริ่มตระหนักถึงข้อดีมากมายที่หุ่นยนต์นั้นพร้อมมอบให้กับธุรกิจของพวกเขา ซึ่งก็เป็นเนื้อหาที่พวกเราจะได้ติดตามไปพร้อมกันในวันนี้…

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

มีอุตสาหกรรมใหม่ “เลือกใช้” หุ่นยนต์มากขึ้น

จะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวงการอีคอมเมิร์ซเลยก็ได้… จากสถิติในปี 2022 มีหุ่นยนต์หลายพันตัวถูกติดตั้งใหม่ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่ไม่อยู่ในการเก็บสถิติเมื่อห้าปีก่อน

ในความพยายามที่จะแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน บริษัทเคยมองข้ามการใช้ระบบอัตโนมัติ เห็นได้ชัดจากรายงานข้างต้นว่าสิ่งนี้ได้ถูกนำมาพิจารณามาและใช้งานบ้างแล้ว โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ต้องพึ่งพาพนักงานบริการ เช่น ร้านค้าปลีกและร้านอาหาร ที่บางครั้งไม่สามารถตอบสนองตำแหน่งหรือกระบวนการที่ขาดหายไปได้แบบทันที การเลือกลงทุนในระบบอัตโนมัติจึงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่เราคาดหวังจากกลุ่มนี้

การขนส่ง การก่อสร้าง การเกษตร และอีกมากมาย จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน แม้จะเป็นส่วนงานที่ค่อนข้างใหม่กับระบบอัตโนมัติ แต่ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ผลักดันบริษัทต่าง ๆ ให้ตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลรวมถึงการส่งมอบ เป็นสิ่งที่ธุรกิจนี้ต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

หุ่นยนต์ถูกปรับให้ใช้งาน “ง่ายขึ้น”

ก่อนหน้านี้การนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมาใช้อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ตอนนี้หุ่นยนต์รุ่นใหม่นั้นใช้งานง่ายกว่ามากแนวโน้มที่ชัดเจนในส่วนของการเชื่อมต่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งโปรแกรมที่ขับเคลื่อนด้วยไอคอนต่าง ๆ ผ่านหน้าจออินเทอร์เฟซได้อย่างง่ายดาย และยังมีคำแนะนำแบบละเอียดผ่านคู่มือการใช้หุ่นยนต์ ทั้งหมดผ่านการังสรรค์โดยบริษัทหุ่นยนต์และซัพพลายเออร์ที่เข้ามาเป็น “Third Party” รวมรวบข้อมูลออกแบบแพ็คเกจฮาร์ดแวร์ร่วมกับซอฟต์แวร์เพื่อทำออกมาให้เข้าใจและง่ายที่สุดต่อการใช้งาน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยการมุ่งเน้นไปที่ระบบนิเวศอันสมบูรณ์ กำลังเพิ่มมูลค่ามหาศาล แถมยังช่วยร่นระยะเวลาดำเนินการ นอกจากนี้ แนวโน้มสำหรับวิทยาการหุ่นยนต์แบบโลว์คอสต์ ยังมาพร้อมการติดตั้งที่ง่ายดาย

โดยบางแอปลิเคชั่นสามารถกำหนดค่าล่วงหน้าเอาไว้ได้เลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ซัพพลายเออร์เข้ามาช่วยเสนอโปรแกรมมาตรฐานผ่านแอปสโตร์ เพื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์จับยึด เซนเซอร์ และตัวควบคุม ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนกันและกัน ทำให้การใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมมีต้นทุนในราคาที่เบาบางกว่าเดิม

ในส่วนของเทคโนโลยีโรบอทหรือเอไอต่าง ๆ โรงกลึงพี-วัฒน์เองก็สนใจเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นสำหรับควบคุมการทำงานของโรบอทหรือเอไอเหล่านี้เป็นอย่างมาก สำหรับใช้ประโยชน์ช่วยสนับสนุนและแบ่งเบาภาระให้กับวิศวกรผู้ควบคุมการทำงานในโรงกลึง และเพื่อที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะได้เอาเวลาไปพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ หรือตัดสินใจแก้ปัญหาที่สำคัญ ๆ แทนการทำงานโอเปอเรชั่นหน้างาน

หุ่นยนต์ช่วยมนุษย์ “เพิ่มทักษะ” ได้มากกว่าที่คิด

ด้วยเส้นทางของสายการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลโดยเน้นไปที่การศึกษาและการฝึกอบรม ทำให้รัฐบาล สมาคมอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทต่าง ๆ จำนวนมากเล็งเห็นความจำเป็นของการศึกษาเกี่ยวกับหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติขั้นพื้นฐานในระยะเริ่มต้นสำหรับคนรุ่นใหม่นอกเหนือจากการฝึกอบรมพนักงานภายในแล้ว เส้นทางการศึกษาภายนอกยังสามารถปรับปรุงโปรแกรมการเรียนรู้ของพนักงานได้อีกด้วย ยกตัวอย่างผู้ผลิตหุ่นยนต์ เช่น ABB, FANUC, KUKA และ YASKAWA นั้นรวมกันแล้วมีคนลงทะเบียนเข้าร่วมคลาสหุ่นยนต์อุตสาหกรรมระหว่าง 10,000 – 30,000 คนในกว่า 30 ประเทศทุกปี

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

หากดูแนวโน้มจากการเกิด “Great Resignation” อาจดูเป็นสิ่งที่น่ากังวล แต่บางแง่มุมกลับกลายเป็นว่าวิทยาการหุ่นยนต์กำลังช่วยยกระดับโปรไฟล์ของพนักงานโรงงานให้ดียิ่งขึ้น อาจรวมถึงความต้องการของผู้คนที่อยากทำงานในสภาพแวดล้อมสมัยใหม่ที่พวกเขาสามารถสร้างอาชีพเองได้

ทั้งนี้ โอกาสในการฝึกอบรมทักษะเกี่ยวกับวิทยาการหุ่นยนต์ ยังเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายสำหรับทั้ง “บริษัท” และ “พนักงาน” ต่อจากนี้ งานทำซ้ำอันแสนน่าเบื่อ งานที่ก่อให้เกิดความสกปรก และงานที่เสี่ยงอันตราย สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยระบบอัตโนมัติหรือ “หุ่นยนต์” ส่วนของ “ผู้คน” นั้นก็จะเปลี่ยนไปเรียนรู้ทักษะที่สำคัญต่อธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตแทน เป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำงาน เพิ่มทักษะ เพิ่มมูลค่า และสร้างรายได้ตลอดอาชีพของพวกเขา

ตอบโจทยธุรกิจ “โลกอนาคต” ได้ด้วยหุ่นยนต์

คาดการณ์ของข้อมูลนี้มองว่า ปี 2022 และปีต่อ ๆ ไป ข้อมูลเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการผลิตในอนาคต ข้อมูลที่รวบรวมจากกระบวนการอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด จะถูกวิเคราะห์โดยผู้ผลิตเพี่อทำการตัดสินใจด้วยสถิติมากขึ้น ด้วยความสามารถของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่มีการแบ่งปันงานและเรียนรู้ผ่าน AI

บริษัทต่าง ๆ ยังสามารถปรับใช้ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะได้ง่ายขึ้นในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงห้องปฏิบัติการด้านการดูแลสุขภาพอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าและ “โควิด-19” มีการผลักดันให้ภาคการผลิตกลับมาใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น มีสถิติที่เปิดเผยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก สหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติกลับมาทำธุรกิจได้อย่างไร

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ข้อมูลของ Association for Advancing Automation (A3) คำสั่งซื้อหุ่นยนต์ในสหรัฐฯ ผ่านไตรมาสที่สามของปี 2021 เพิ่มขึ้นถึง 35%

การเติบโตของสถิติดังกล่าว ไม่ได้เป็นเรื่องของหุ่นยนต์เท่านั้น ระบบการมองเห็นของเครื่องจักร การคุมการเคลื่อนไหว และมอเตอร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลายบริษัทมีแนวโน้มว่าจะลงทุนในระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น และมากที่สุดคือ “อุตสาหกรรมยานยนต์”  ซึ่งย้อนไปในช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปี 2020 มีคำสั่งซื้อมากกว่าครึ่งที่มาจากอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเภทนี้

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ผ่านช่วงนำร่องมาแล้ว ซึ่งตอนนี้ AI สำหรับหุ่นยนต์กำลังเติบโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และการเรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องก็อยู่ในกระแสหลัก เชื่อได้เลยว่าปี 2022 และปีต่อ ๆ ไป การคาดการณ์ที่จะเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกนำไปใช้มากขึ้นในวงกว้างจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 

ขอบคุณข้อมูลจากบทความต้นฉบับจาก https://ifr.org/ifr-press-releases/news/top-5-robot-trends-2022

การมาของ “รถยนต์ไฟฟ้า” ส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมยานยนต์แบบเก่า?

รถยนต์ไฟฟ้า

ไม่ได้พูดถึงเรื่องของยานยนต์เสียนาน แต่พอได้เห็นกระแสของ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่กำลังมาแรงในบ้านเรา หลังเจ้า Ora Good Cat เปิดตัว ไม่ว่าจะด้วยความน่ารัก สเป็คที่ชวนให้จับจองเป็นเจ้าของ หรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเก่าที่ซดน้ำมัน (ICE) จะถูกแทนที่มากน้อยแค่ไหนกันนะ…

ด้วยความใคร่รู้ดังกล่าว ทำให้เราไปเจอบทความหนึ่งที่พูดถึงการเข้ามา “ปฏิวัติ” ของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะมีส่วนเข้ามากำหนดสเป็คสำหรับ OEM (Original Equipment Manufacturer) และบรรดาซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมาก เว็บไซต์โรงกลึงพีวัฒน์ตื่นตัวกับอุตสาหรกรรมด้านนี้ และเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก เลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟังผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้

รถยนต์ไฟฟ้า

เทสล่า & BYD ทัพหน้าพายานยนต์สู่ยุคใหม่?

เริ่มต้นจากการบุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ เทสล่า และ BYD รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ส่งผลให้คำว่า “ล้าสมัย” มาเยือนเทคโนโลยียานยนต์แบบเก่า (ICE) ไวยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่ารถยนต์ส่วนบุคคลกว่า 50% ทั้งหมดจะกลายเป็นแบบไฟฟ้าภายในปี 2040 จึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์มากเท่าไหร่ที่ เทสล่า และ BYD ยังคงเป็นสองบริษัทที่ดูจะล้ำหน้าเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ประเภทนี้มากกว่าเจ้าอื่น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ หลายบริษัทก็ไม่ได้เพิกเฉยแต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริง ยุคนี้เป็นทศวรรษที่อุปกรณ์ต่าง ๆ เทคโนโลยี CNC สำหรับยานยนต์ เครื่อข่ายลอจิสติกส์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแขนงนี้ นั้นพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว พิสูจน์ได้จากความสามารถในการผลิตที่หลากหลาย ตลอดจนเรื่องของเงินทุนก้อนโตที่เกินกว่าจะเมินได้ แต่การจะเข้าร่วมวงแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบสองแบรนด์ดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ทั้งเรื่องของการปรับแต่งเครื่องมือเพื่อเบี่ยงเส้นทางจากสาย ICE สู่ EV โดยภาคส่วนการผลิตยานยนต์ด้วยเครื่องมือ CNC นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แบบเต็ม ๆ

รถยนต์ไฟฟ้า

ความแตกต่างของการผลิตชิ้นส่วนระหว่างโรงงานแบบ ICE กับ EV

เครื่องยนต์แบบ ICE นั้นภายในมีความซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งเกิดจากความจำเป็นในการเปลี่ยนพลังงานเคมีให้เป็นข้อได้เปรียบทางกล พลังงานจากแรงเชิงเส้นเพื่อหมุนล้อผ่านเกียร์สร้างความซับซ้อนที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ไหนจะเรื่องชิ้นส่วนทั่วไปที่มักทำมาจากโลหะ นั่นแปลว่าต้องมีเรื่องของการกลึงเข้ามาเกี่ยวข้องในการผลิตอีก

ส่วนเครื่องยนต์แบบ EV จะมีความซับซ้อนที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในแง่ของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของรถยนต์ไฟฟ้า แบ่งส่วนประกอบหลักเป็น 3 ส่วน คือ มอเตอร์ไฟฟ้า ชุดแบตเตอรี่ และเกียร์

เรื่องของการทำงานนั้น พลังงานไฟฟ้าจะถูกดึงออกมาผ่านกระบวนการทางเคมีมาให้สู่มอเตอร์ แล้วมอเตอร์จะส่งกำลังไปยังล้อโดยใช้แค่เกียร์ขนาดเล็ก ซึ่งปกติเป็นเกียร์แบบความเร็วเดียว (เช่น รถของเทสล่า) นั่นหมายความว่าการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องใช้ CNC มีกระบวนการน้อยกว่าโรงงานแบบ ICE แน่นอน

รถยนต์ไฟฟ้า

ข้อกำหนดของ EV Machining

นี่เป็นสิ่งที่บรรดา OEM และซัพพลายเออร์ของแต่ละบริษัทจะต้องพัฒนาควบคู่กันในการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า โดยด้านล่างนี้เป็นข้อกำหนดบางส่วนที่เป็นข้อมูลสำหรับ EV Machining เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตามสองค่ายผู้นำในอุตสาหกรรมนี้

การผลิตแบตเตอรี่ การผลิตแบตเตอรี่จะเป็นคอขวดของการผลิต EV ในอนาคต โดยนี่เป็นการคาดการณ์ของ เทสล่า และกำลังวางแผนที่จะบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยการสร้างศูนย์กลางผลิตแบตเตอรี่ที่เรียกว่า “Gigafactories” นี่เป็นสิ่งที่บริษัทรถยนต์จำเป็นต้องลุยเรื่องการผลิตแบตเตอรี่เอง เนื่องด้วยตลาดนั้นมีการแข่งขันสูงมากอยู่แล้วจากการนำ EV ไปทั่วโลกอย่างจำกัด

นอกจาก เทสล่า ทางด้านของ BYD เองได้ดำเนินการผลิตชุดแบตเตอรี่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นกระบวนการที่ต้องการความแม่นยำในการผลิตมากที่สุด และยังจำเป็นต้องมีเครื่อง CNC ระดับสูงอีกด้วย

การผลิตระบบส่งกำลัง นี่น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ไวสุดเลยก็ว่าได้ เพราะระบบส่งกำลังสำหรับ EV มีความซับซ้อนน้อยกว่าระบบกำลังของ ICE ทั่วไปมาก ดังนั้น OEM และซัพพลายเออร์สามารถจัดการได้เป็นลำดับแรก ๆ โดยเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรกับกระบวนการที่มีอยู่แค่เล็กน้อยเท่านั้น

แผงตัวถัง เป็นอีกสิ่งนึงที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนักหากต้องการกระโจนสู่ตลาดยานยนต์ EV แผงตัวถังเหล่านี้สร้างขึ้นโดยการปั๊มหรือดึงแผ่นโลหะให้เป็นรูปทรงตามต้องการ โดยใช้แม่พิมพ์เพื่อสร้างรูปแบบที่ซับซ้อนของรถยนต์ กระบวนการนี้ถูกกลึงโดยใช้เครื่องจักรแบบ 5 แกน ซึ่งในการผลิต ICE นั้นใช้งานกันอยู่แล้ว

คุณภาพที่สูงขึ้น นอกจากความ “รักษ์โลก” แล้ว สิ่งที่ตลาดนี้นำเสนอมาตลอด คือ “ความเรียบง่าย” ซึ่งหมายถึงภาพรวมของทุกอย่าง ความสัมพัทธ์ของ EV และเซฟคอสต์เรื่องการบำรุงรักษา โฟกัสต่าง ๆ จะพาไปสู่การผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชิ้นส่วนที่กลึงมีอายุการใช้งานยาวนานตราบเท่าส่วนประกอบอื่นของรถยนต์ไฟฟ้า นี่เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นต้องผลิตด้วยเครื่องจักรชั้นสูง ต้องสามารถตอบสนองความแม่นยำและมีความสามารถในการทำซ้ำตามที่ผู้ผลิตแพลนไว้

น้ำหนักเบา เรื่องน้ำหนักเป็นจุดหลักที่ตลาด EV ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก ดังนั้นชิ้นส่วนต่าง ๆ จำเป็นต้องผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเป็นของ เทสล่า ที่เกือบจะใช้สเปคเดียวกันกับการบินและอวกาศกันเลย แต่มีการปรับใช้ ออแบบโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับยานยนต์

ขั้นตอนนีมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการผลิตมากกว่าชิ้นส่วนยานยนต์แบบดั้งเดิม เป็นผลมาจากรูปทรงอินทรีย์ที่ซับซ้อนจากอัลกอรธึมที่โปรแกรมเอาไว้

เสียงรบกวนต่ำ การออกแบบโดยคำนึงถึง “ความเงียบ” เป็นอีกจุดขายของ EV อยู่แล้ว และอาจมีเสียงรบกวนมากเกินความจำเป็นหากชิ้นส่วนมีการตัดเฉือนที่ไม่ตรงสเป็ค ส่วนการแก้ปัญหานั้นไม่ยากเลย แต่ต้องใช้ทุนหนักหน่อย เพราะจำเป็นต้องใช้เครื่องเจียรที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งก็มั่นใจได้เลยว่าจะบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้อย่างแน่นอน

รถยนต์ไฟฟ้า

ความต้องการของผู้บริโภคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง “การปรับตัว” เปลี่ยนไปใช้สายการผลิตที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมและมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นสำหรับ EV มีความสำคัญมาก จากแนวโน้มปัจจุบันในข้อมูลที่ได้รับมานี้ จำนวนชิ้นส่วนโลหะมีความต้องการลดลงอย่างมาก ส่วนความต้องการในชิ้นส่วนคุณภาพสูงสำหรับ EV กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง… OEM และซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีสิทธิ์สูญเสียกำลังการผลิตที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อธุรกิจเกินกว่าที่จะจินตนาการเลยก็ได้

ขอขอบคุณบทความต้นทางจาก https://kingsburyuk.com/how-will-the-electric-vehicle-revolution-change-machining-requirements-for-oems-and-suppliers-in-the-automotive-industry

NFT บน Supply Chain

NFT Supply Chain

กระแสมาแรงจริง ๆ สำหรับเรื่องของ “NFT” ในวันที่เทคโนโลยี Blockchains ได้พาบรรดาเหล่า Cryptocurrency ให้ได้รู้จักเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง แล้วก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ถูกพูดถึงตลอดจนความนิยม เรียกว่านี่อาจเป็นหนึ่งในการปฏิวัติวิธีที่เราประมวลผลข้อมูลออนไลน์และธุรกรรมการเงินเลยก็ว่าได้

สำหรับสิ่งนี้ บุคคลและธุรกิจต่าง ๆ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับ “Supply Chain” การปรับใช้เข้ากับ NFT ยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ รักษาทุกขั้นตอนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและเป็นปัจจุบันมากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณต้องการสร้างความฮือฮาในอุตสาหกรรมทั่วโลกด้วยสิ่งนี้ การเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากวงการศิลปะสู่โลกธุรกิจให้ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้มากกว่าที่เคย ลองติดตามผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้ดูว่า NFT จะเข้ามาปฏิวัติห่วงโซ่อุปทานได้อย่างไร…

NFT Supply Chain

NFT คืออะไร?

Non-Fungible Token เป็นชื่อเต็ม ๆ ของสิ่งนี้ หรือที่คุ้นหูคุ้นปากกันว่า NFT ซึ่งก็คือ Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่สามารถแสดงความครอบครองของสินทรัพย์ด้วยการเป็น “เจ้าของ” แต่ละเหรียญแต่ละแบบจะมีความแตกต่างทางด้านมูลค่า และที่สำคัญคือ Non-Fungible Token เหรียญอื่น ๆ ไม่สามารถนำมาทดแทนกันได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น สมมติเพื่อนคุณยืม เมคานิคอล คีย์บอร์ด สุดยูนีคของคุณไป ก็ต้องเอาคีย์บอร์ดตัวดังกล่าวมาคืนเท่านั้น! เพราะการปรับแต่งสรรค์สร้างของคีย์บอร์ดประเภทนี้มีความเฉพาะตัวสูง ไม่สามารถเอาคีย์บอร์ดแบบอื่นมาคืนได้ ต่อให้เป็นรุ่นเดียว ผลิตในปีเดียวกัน ใช้ส่วนประกอบอื่น ๆ เหมือนกันก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ “ไม่ใช่ตัวเดียวกัน”

ถ้ายังนึกภาพตามไม่ออกถึงความเฉพาะตัวของ NFT ลองคิดเปรียบเทียบกับ Bitcoin หรือเหรียญอื่น ๆ ที่เป็น Fungible Token ทั่วไป หากคุณถูกเพื่อนยืมไป 3 Bitcoin เวลาจะคืนเพื่อนคุณสามารถหา Bitcoin จากที่ไหนมาคืนก็ได้ เพราะมันเหมือนกันหมด อะไรแบบนี้

ดังนั้น การซื้อขายการถือครอง NFT จะไม่สามารถซื้อเป็นหน่วยย่อยเหมือน Cryptocurrency ประเภทอื่น ๆ ได้ ชัดเจนที่สุดสำหรับตัวอย่างนี้คงจะเป็นเรื่องการซื้อภาพวาดที่เราจำเป็นต้องซื้อภาพนั้นทั้งภาพ ไม่สามารถซื้อแบบยิบย่อยแต่ละส่วนได้นั่นเอง

ประโยชน์ของ NFT บนอุตสาหกรรม

การสร้างทรัพยากรที่หายากและไม่ซ้ำใคร ไม่สามารถทำซ้ำหรือทำลายได้ กลายเป็นปัจจัยหลักที่ NFT จะเข้ามายกระดับในทุก ๆ อุตสาหกรรม โดยรับประกันความถูกต้องของข้อมูลตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งหากองค์กรใดที่มีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์และยึดถือเรื่องโครงสร้างของทุก ๆ ผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ NFT ยังติดตามได้บนบล็อคเชน การมีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติที่ไม่เปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ ทำให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้อง ตลอดจนที่มาของสินทรัพย์นั้น ๆ และไม่สามารถถูกทำลายได้ แถมยังไม่เสื่อมสภาพอีกต่างหาก ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็น่าจะพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าสิ่งนี้เป็นการลงทุนที่ดีสำหรับโลกยุคใหม่

NFT Supply Chain

NFT กับ Supply Chain

NFT Supply Chain แม้จะรับความนิยมและถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายจากเกม ของสะสมและงานศิลป์ ปัจจุบัน NFT ได้เริ่มถูกนำมาใช้กับอุตสาหรกรรมอื่น ๆ ด้วยการพัฒนาการล่าสุดจากที่มีการอัพเดตมา NFT ได้เข้าร่วมการปฏิวัติเทคโนโลยีบล็อคเชนในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการ Supply Chain โดยหน้าที่หลักของพวกเขาในซัพพลายเชน ตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าแต่ละรายการ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและแหล่งกำเนิดของสินค้าได้แบบ 100 เปอร์เซนต์ โดยเจ้าโทเค็นนี้ไม่เพียงแต่ตรวจสอบความถูกต้อง แต่ยังทำหน้าที่ในการขจัดของปลอม แถมยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปเช็คผลิตภัณฑ์ตลอดกระบวนการ รักษาแหล่งที่มา และรับรองความเป็นเอกลักษณ์ได้ดีเยี่ยม

การนำ NFT มาใช้กับอุตสาหกรรมนั้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงกลึงพีวัฒน์เองก็เฝ้าติดตามกรณีศึกษามาสักพักเพราะไม่อยากตกเทรนด์ ตัวอย่างที่น่าสนใจเป็นแบรนด์แฟชั่นสุดหรูอย่าง Luis Vuitton ได้เผยแผนงานเมื่อปี 2019 ที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มบล็อคเชนสำหรับใช้โทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าของพวกเขาซึ่งมีวัสดุพรีเมียมและราคาสูง โดยสิ่งนี้สามารถตรวจสอบคุณภาพ แหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ผ่านการติดตามวัสดุในซัพพลายเชนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นถึงเอกลักษณ์และคุณภาพ กล่าวได้ว่านี่จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรใดก็ตามที่มีผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์หรือชื่อเสียงที่ต้องรักษาไว้ การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีนี้จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าคุณใส่ใจในทุกขั้นตอนที่ทำ 

นอกจากนี้นี่ยังเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการรักษาการปฏิบัติตามกฏระเบียบและการทำงานอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามและรับรองความถูกต้องของเอกสาร คุณสามารถมั่นใจได้ว่าคุณกำลังส่งมอบพร้อมคำมั่นสัญญาในการรักษาตัวตนความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ทุกอย่างสามารถรับประกันได้หากเป็น NFT

NFT Supply Chain

ยกระดับด้วย NFT ดีอย่างไร?

ผลประโยชน์เดียวกันนี้ หากลองมองไปที่ธุรกิจที่อิงกับซัพพลายเชนอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมขนส่ง รถยนต์โดยเฉลี่ยมีชิ้นส่วนประมาณ 30,000 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตขึ้นเองหรือจัดหาจากผู้ให้บริการ Third Party หากเป็น NFT จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่เพิ่มขึ้นแก่คุณเกี่ยวกับวัสดุและส่วนประกอบแต่ละรายการที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ คุณสามารถเข้าถึงทุกวัสดุที่ใช้ตั้งแต่ที่ตั้งปัจจุบันไปจนถึงแหล่งกำเนิด นอกจากนี้ยังนำมาปรับใช้ในเรื่องข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและคำนวนต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเลือกใช้บล็อคเชนเข้ามายกระดับการจัดการซัพพลายเชนแล้ว หรือมีแผนที่จะเริ่มใช้ NFT เพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเพื่อความก้าวหน้าในองค์กรของคุณ จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันตอนนี้ คุณสามารถมั่นใจได้ระดับนึงเลยว่าการเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชนเป็นแบบดิจิทัล จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในเวลานี้ และจะทำให้องค์กรของคุณได้เปรียบในการแข่งขันนี้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการันตีความถูกต้องในทุกกระบวนการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…

ขอขอบคุณสาระดี ๆ จากบทความต้นทางมา ณ ที่นี้ : What are NFTs & What does it Mean for Supply Chains? (flexis.com)

ส่องเทรนด์ CNC Machining ที่น่าจับตามองปี 2022

เครื่อง cnc

เหมือนจะห่างหายกันไปพอสมควรสำหรับเรื่องราวของ CNC Machining เจ้าเครื่อง CNC จักรกลที่เป็นคีย์แมนแห่งอุตสาหรกรรมการผลิตในหลายแขนง ซึ่งต้นปีแบบนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การอัพเดตเทรนด์ต่าง ๆ ที่ “กำลังจะ” หรือดำเนินอยู่ในกาลปัจจุบัน และแน่นอนเลยว่าหากมีการคาดการณ์ที่ดี จะส่งผลต่ออนาคตของอุตสาหกรรมได้ไม่มากก็น้อย

อย่างที่บอกไปช่วงต้น การก้าวเข้าสู่เดือน 3 ของปีปฏิทิน ถือว่ามันยังเป็นอะไรที่ใหม่อยู่สำหรับปี 2022 คงเป็นเรื่องดีไม่ใช่น้อยหากเราได้รู้เกี่ยวกับเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะ “ผู้ผลิต” การจับตาดูโลกของเครื่อง CNC เพื่อเตรียมพร้อมเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการพัฒนาที่สำคัญ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

เครื่อง cnc

ยกระดับอุตสาหกรรมด้วย 4 เทรนด์ CNC Machining ปี 2022 

จั่วหัวกันแบบ “เล่นใหญ่” เอาไว้ก่อน ส่วนเทรนด์ที่เราจะนำมาฝากผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้จะช่วยยกระดับได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกปรับใช้ให้ตรงกับอุตสาหกรรมของคุณ สำหรับโลกธุรกิจนั้นนอกจากจะต้องมีจุดยืนที่แข็งแกร่งแล้ว การปรับตัวให้ทันตามเทรนด์โลกเป็นสิ่งที่คุณเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเรารับรองเลยว่า 4 เทรนด์ เครื่อง CNC ที่คุณจะได้ยลต่อไปนี้ จะช่วยเสริมสร้างมุมมองที่กว้างขึ้นสำหรับปี 2022 แน่นอน!

1. การผสมผสาน CNC Machining เข้ากับเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

จะกล่าวว่าเป็นความแตกต่างที่ลงตัวได้หรือเปล่า? เนื่องด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของ “เครื่องจักรกล CNC” กับ “เครื่องพิมพ์ 3 มิติ” นั้นสวนทางกันเป็นอย่างมาก อย่างแรกใช้เพื่อตัดชิ้นส่วนออก ส่วนอย่างหลักนั้นเป็นการเสริมสร้างส่วนที่ต้องการให้เป็นรูปทรงมากขึ้น แต่สำหรับผู้ผลิตแล้ว “เราไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง”

แยกเฉพาะเรื่องของการขึ้นแบบ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ นั้นโดดเด่นและตรงจุดกว่าในเรื่องนี้ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของความแม่นยำ เครื่องจักรกล CNC นั้นทำได้ละเอียดยิบในระดับ 0.025 มม. ขณะที่เครื่องพิมพ์ 3 มิติทั่วไปอยู่ที่ 0.1 มม. เท่านั้น

ปี 2022 มีหลายโรงงานริ่เริ่มนำการ “ผลิตแบบไฮบริด” มาใช้ ซึ่งการที่พูดถึง CNC นั้นหมายถึงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกัด การกลึง การเผาหล่อด้วยเลเซอร์โลหะโดยตรงหรือกระบวนการเติมแต่งอื่น ๆ โดยอาจมีการประเมินก่อนเริ่มโครงการ มองหาจุดที่สามารถใช้ CNC Maching กับ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ดำเนินการร่วมกัน เช่น ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ในการขึ้นแบบ พอถึงในขั้นตอนของการสร้างผลิตภัณฑ์ จะเป็นการจัดการของ CNC Machining ล้วน ๆ

เครื่อง cnc

2. Digital Twins สำหรับเครื่องจักรกล CNC โดยเฉพาะ

หนึ่งใน IoT (Internet of Things) ที่จะเข้ามายกระดับการผลิตให้มีคุณภาพมากกว่าเดิม จะดีแค่ไหน หากคุณสามารถสร้างแบบจำลองการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณก่อนดำเนินการด้วยแนวคิดนี้

ผู้คนในภาคอุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้ Digital Twins เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องจักร ไปจนถึงกระบวนการต่าง ๆ เรียกได้ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้นั้นเสมือนตัวแทนมากกว่าจะเป็นแค่แบบจำลองโดยทั่วไป

ให้เห็นภาพชัดเจนกว่าเดิม การจำลองมักเป็นการแสดงกระบวนการอย่างเดียว แต่ดิจิทัลทวินส์สามารถปรับขนาดได้ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการที่ซับซ้อนหลายอย่างพร้อมกันได้อีกด้วย

หนึ่งในเทรนด์ CNC ที่น่าจับตามองสุด ๆ ในปีนี้ก็คือการนำดิจิทอลทวินส์มาใช้ในระหว่างขั้นตอนการตั้งค่าเพื่อหลีกเลี่ยง “เซอร์ไพรส์” อันไม่พึงประสงค์ การมีผลิตภัณฑ์อยู่บนคลาวด์จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงการเขียนโปรแกรม CNC กับเครื่องมือและตัวยึดที่ใช้กับแต่ละเครื่องได้เลย

3. เพิ่มการลงทุนในระบบอัตโนมัติ

เป็นสิ่งที่คาดว่าน่าจะเติบโตมากในปี 2022 จากที่ได้เริ่มรับความสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในบทความต้นทางได้ยกตัวอย่างถึงบริษัทหนึ่ง ได้เสนอเซลล์หุ่นยนต์ที่ควบคุมด้วยกล้องซึ่งใช้ในการโหลดหรือยกเลิกการโหลดเครื่อง CNC แบบอัตโนมัติ ลูกค้าสามารถติดตั้งสเตชั่นเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับการเลี้ยว การวัด และการทำเครื่องหมายได้ทันที

อีกกรณีหนึ่ง เป็นการร่วมกันระหว่าง Mitsubishi และ AIST ส่งผลให้เกิดโซลูชันเครื่อง CNC ที่รวมระบบอัตโนมัติและ AI เข้าด้วยกัน โดยเป็นระบบแก้ไขข้อผิดพลาดที่ใช้ AI ในการประเมินความคลาดเคลื่อนระหว่างตำแหน่งปัจจุบันของเครื่อง CNC กับค่าคำสั่งของเครื่อง

การทดสอบนี้แสดงให้เห็นว่าวิธีการดังกล่าวเพิ่มความแม่นยำขึ้นถึง 51% เมื่อเทียบกับตัวเลือกที่ไม่ใช่ AI ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือเทคโนโลยีนี้สามารถใช้แก้ไขได้แม้กระทั่งในระหว่างการตัดเฉือนแบบไดนามิก ซึ่งขั้นตอนนี้จะช่วยประหยัดเวลาและยังรักษาคุณภาพให้อยู่ในระดับสูงอีกต่างหาก!

เครื่อง cnc

4. การบำรุงรักษาเชิงป้องกันและคาดการณ์เพิ่มเติม

น่าจะคุ้นหูคุ้นตากันไม่น้อยสำหรับเทรนด์นี้ เพราะเป็นกระแสที่โรงกลึงพีวัฒน์ติดตาม และบอกเล่าผ่านบทความสาระอุตสาหกรรมมาตลอด ซึ่งเทรนด์นี้ไม่ใช่แค่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต แต่เรื่องยกระดับการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและคาดการณ์เพิ่มเติม จะกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคต

การบำรุงรักษาเชิงปฏิกิริยา การชะลอค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอาจทำให้เสียเวลาในการทำงานและทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นสิ้นเปลือง ในทางการกลับกัน การยกระดับมาตรการนี้จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงสุด

AI (ปัญญาประดิษฐ์) มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกระบวรการนี้ เนื่องด้วยการคาดการณ์จากข้อมูลที่แม่นยำนั้นส่งผลให้การกำหนดวันเวลาการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพื่อลดโอกาสของความเสียหายได้ดีที่สุด โดยเฉพาะการแจ้งเตือนผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้นสำหรับความเสียหายที่ไม่ทันคาดคิด

เครื่อง cnc

นอกจาก 4 เทรนด์ที่น่าจับตามองที่เราได้ร่ายยาวไปทั้งหมดแล้ว การเรียนรู้ CNC Machining สำหรับตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่ยืดหยุ่น เป็นสิ่งที่หลายองค์กรเริ่มมุ่งเน้นให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องได้อบรบสำหรับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นในปี 2022 ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนถึงความสำคัญและความนิยมของเครื่อง CNC เป็นอย่างมาก การเรียนรู้เชิงลึกไม่ได้อยู่ที่ช่างเครื่อง CNC อย่างเดียวต่อไป การฝึกอบรมทักษะการผลิตอย่างต่อเนื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ตลอดกระบวนการ นอกจากเรื่องความยืดหยุ่นสำหรับเลือกใช้ออปชั่นที่เหมาะสมต่อเครื่องจักรแบบต่าง ๆ แล้ว เรื่องของบุคลากรนั้นก็จะถูกพัฒนาไปด้วยการ ส่งผลให้การอุตสาหกรรมการผลิตสามารถดำเนินการได้แบบไร้รอยต่อ…

ขอขอบคุณข้อมูลสาระดี ๆ จาก americanmachinist.com มา ณ ที่นี้

จับตามอง ปี 2022 กับเทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต

เทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต

กว่าจะผ่านมกราคมอันแสนยาวนานราวกับว่ามี 60 วัน ตอนนี้เข้าสู่เดือนแห่งความรักเป็นที่เรียบร้อย และแน่นอน… พออยู่ในเดือนกุมภาพันธ์ เรามักจะได้ยินมุกตลก เช่นว่า กุมภาฯ แล้วเมื่อไหร่จะมีคน “กุมมือ” ว่อนตามหน้าโซเชียลเต็มไปหมด เว็บไซต์โรงกลึงพีวัฒน์ของเราเองก็ไม่อยากจะตกเทรนด์นั้น จึงอยากขออาสา “กุมมือ” ผู้อ่านทุกท่านไปอัพเดต “เทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต” อันเป็นแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2022 ซึ่งบางอย่างก็ต่อยอดมาจากปี 2021 

ฉะนั้น หากเห็น buzzword ไหนคุ้น ๆ หรือคำศัพท์ต่าง ๆ ที่เคยผ่านตามาแล้ว ขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่ใช่เดจาวู และไม่ได้อ่านซ้ำนะ ส่วนจะมีเทรนด์ไหนบ้างที่เผื่อว่าคุณสามารถนำไปปรับใช้กับงานของคุณได้ ติดตามไปพร้อมกันกับเราด้านล่างนี้เลย!

เทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต

4 เทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต อัพเดตล่าสุด 2022

อย่าเพิ่งส่ายหัวกับคำว่า “New Normal” เข้าใจอยู่ว่านี่เป็น buzzword ที่เราได้ยินกันจนเอียนหูตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์โควิด ทำให้ทุกอย่างตั้งแต่ความคล่องตัวทางธุรกิจไปจนถึงความปลอดภัยของบุคลากร ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเทรนด์อุตสาหกรรมการผลิตของปี 2022 มีหลายสิ่งอย่างที่รอวัน “ปล่อยของ” และน่าจะเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายที่ไม่เหมือนใครตลอดช่วงหลายปีผ่านมาในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการกรีฑาทัพต่อเนื่องของเทคโนโลยี การเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ การปรับปรุงระบบอัตโนมัติที่ช่วยให้พร้อมแก้ไขปัญหาและนำเสนอโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน

1. ปีแห่งโรงงานอัฉริยะ

โรงงานอัฉริยะ หรือคีย์เวิร์ดเริ่ด ๆ ว่า “Smart Factories” ในปี 2022 นี้คาดว่าหลายโรงานและโรงงานผลิตพร้อมที่จะนำแนวทางนี้มาใช้ เริ่มจะเปลี่ยนจากการใช้อุปกรณ์ไฮเทคแบบชั่วครั้งชั่วคราว ก้าวสู่ความเป็นสมาร์ทแฟคทอรี่เต็มระบบมากยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลสื่อสารระหว่างเครื่องจักรกับส่วนกลาง ด้วยเหตุผลดังนี้

  • การแทนที่ของเครื่องจักรรุ่นใหม่ที่มีเซ็นเซอร์ในตัว สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างละเอียด พร้อมเครื่องมือตรวจสอบ
  • ผู้ผลิตได้รับแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยการมองเห็นโอกาสจากการวิเคราะห์ของพวกเขาเอง หรือเพื่อให้เดินหน้าให้ทันคู่แข่งก็ตาม

แถมปัจจุบันนี้ ค่าใช้จ่ายของเซ็นเซอร์หลังการขาย ซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์โรงงานอัจฉริยะหลายอย่างยังคงลดลง สวนทางกลับประโยชน์ที่จะได้รับ ทั้งการบำรุงรักษาเชิงรุกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกสำหรับวิเคราะห์กระบวนการลดต้นทุน ช่วยให้การดำเนินงานโดยรวมมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

2. ทบกวนการประเมิน Supply Chain 

การหยุดชะงักของซัพพลายเชนทั่วโลกนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2020 ส่งผลต่อเนื่องยาวตลอดปี 2021 ที่ผ่านมา ทำให้การปรับปรุงทบการประเมินสิ่งนี้นั้นควรถูกจัดเป็นลิสต์อันดับต้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการเล็กน้อย ปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ พร้อมอำนวยความสะดวกในแต่ละขั้นต่ออย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการแสวงหาวิธีรังสรรค์สิ่งใหม่เพื่อความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือในขณะที่ยังรักษามูลค่าทางการตลาดไว้ด้วย

เช่นเคย ข้อมูลนั้นเป็นคีย์แมนสำคัญสำหรับวิธีดังกล่าว การจัดสินค้าคงคลังที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นวิธีที่ประสิทธิภาพมากที่สุด สามารถระบุต้นตอของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เราอาจละเลยหรือทำผิดพลาดก่อนหน้านี้ เพื่อปรับตัวให้เขากับความไม่แน่นอนของซัพพลายเชนอันได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและดีกว่าที่เคย

เทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต

3. ขับเคลื่อนการบำรุงรักษาด้วยข้อมูล

ชื่อของ IoT (Internet of Things) เซ็นเซอร์ การตรวจสอบจากระยะไกล อุปกรณ์สุดล้ำต่าง ๆ นั้นล้วนแต่เป็นทัพหน้าของการยกระดับเทรนด์อุตสาหกรรมการผลิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้และปีต่อไปอย่างแน่นอน

การนำเซ็นเซอร์เข้ามาติดตั้งกับอุปกรณ์เชื่อมต่อภายในโรงงานกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เรื่องของการสื่อสาร การตรวจสอบจากระยะไกลนั้นก็ถูกพัฒนาให้มีความน่าเชื่อถือได้มาตรฐาน และยังคงถูกพัฒนาต่อเนื่องด้วยข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ชนิดที่ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนแล้วค่อยมาแก้อะไรแบบนั้นเลย ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้โรงงานลดความเสียหายที่เกินขอบเขตแผนที่วางไว้ได้อย่างมาก ส่งผลถึงการช่วยประหยัดต้นทุนต่าง ๆ ได้มากกว่าเดิม

4. เริ่มนำเทคโนโลยี “กระบวนการเสมือน” มาปรับใช้

ต่อเนื่องจากข้อก่อนเรื่องการตรวจสอบข้อมูลระยะไกล โดยกระบวนการเสมือน (Virtual Processes) ผ่านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกัน ฟิวชั่นกับความอัจฉริยะของ Digital Twins, Machine Learning, AI, AR และ VR โดยคาดการณ์ว่าสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาช่วยผู้ผลิตในการรับมือกับความท้าทายของโควิด 

การเปิดใช้งานการตรวจสอบระยะไกล การบริการ และการทำงานของอุปกรณ์ ทั้งหมดนี้คุณสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่หน้างานจริงหากปรับปรุงโรงงานเข้ากับเทคโนโลยีที่เราได้กล่าวไว้ในย่อหน้าก่อน

จะดีแค่ไหน… หากคุณสามารถสั่งงานระยะไกลด้วยการสื่อสารแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งมีพลังในการประมวลผลที่ราวกับว่าคุณกำลังปฏิบัติการอยู่ ณ จุดนั้นจริง ๆ โดยการทำงานแบบเสมือนระยะไกลนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มล่าสุดอื่น ๆ บนกระบวนการผลิต นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยและมีความยืดหยุ่นสูงอีกต่างหาก

เทรนด์อุตสาหกรรมการผลิต

ณ ปัจจุบัน ผู้ผลิตรวมถึงโรงกลึงพีวัฒน์ด้วยเช่นกัน กำลังเดินหน้าต่อเนื่องที่จะเอาชนะความท้าทาย ปรับปรุงกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคาดการณ์แนวโน้มการผลิตสำหรับปี 2022 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยสิ่งที่จะเข้ามามีบทบาทมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใดก็ตามแต่ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ แทบจะทั้งนั้น เลือกหยิบใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ธุรกิจของตน ตลอดจนวิเคราะห์ความต้องการของตลาดก่อนพุ่งเข้าหาสิ่งนั้น

ส่วนผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ โควิด-19 ก็ยังคงตามมาหลอกหลอน แม้จะสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าทำให้เกิดเทคนิคกลยุทธ์ใหม่ ๆ รวมถึงโอกาสความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจทำให้อุตสาหกรรมรุดหน้ามากกว่าเดิม

ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ : www.advancedtech.com, www.industrialtransformationnetwork.com, www.foreignpolicy.com

ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป…เมื่อโลกนี้มีบริการ “ทัวร์อวกาศ” ของจริง!

ทัวร์อวกาศ

“อวกาศ” คำสามพยางค์ที่เขียนสั้นนิดเดียวแต่ความหมายนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน และหากย้อนไปช่วงที่คนยุคเจนเอ็กซ์เจนวายยังนั่งอ่าน นั่งฟังอาจารย์บรรยายในคาบวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องการทะยานสู่นอกโลก การเดินทางสู่ดวงจันทร์ เรื่องของ นีล อาร์มสตรอง สุนัขอวกาศไลก้า หรืออะไรก็ตามแต่ น่าจะคาดไม่ถึงว่าชีวิตจะดำเนินมาจนวันที่โลกเดินทางสู่การนำเสนอบริการ “ท่องอวกาศ” ในรูปแบบเชิงพาณิชย์!

ใช่แล้ว! วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของ “ทัวร์อวกาศ” ซึ่งจุดประกายความคิดต้นเรื่องก็มาจากความหวือหวาฮือฮาเมื่อช่วงปลายนี้ของ “เจ้าพ่อทวิตภพ” อีลอน มัสก์ หัวเรือใหญ่แห่งสเปซเอ็กซ์ ที่ได้โชว์ความเหนือชั้นกว่าใครด้วยการพาพลเรือน 4 คน ออกไปสัมผัสอวกาศยาวนานกว่าที่เคยมีมาถึง 3 วัน ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของวงการ เรียกได้ว่างานนี้ “Another Level” อย่างแท้จริง

ทัวร์อวกาศ

“ท่องอวกาศ” ทัวร์นี้ไม่ได้มีแค่ตั๋วของ SpaceX

หากไม่ได้อยู่ในวงการหรือติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องของมหาจักรนอกโลกเป็นทุนเดิม ชื่อที่น่าจะเป็นคอมมอนเซนส์ของคนส่วนใหญ่ในเรื่องของอวกาศ คงหนีไม้พ้น “SpaceX” ของ อีลอน มักส์

แต่ปัจจุบันนี้ เรื่องวุ่น ๆ ของวัยรุ่นอวกาศที่มุ่งหน้าพัฒนาทัวร์นอกโลกอย่างจริงจัง ทำกันเป็นล่ำเป็นสันเพื่อนำเสนอบริการสุดคลั่งให้กับบรรดามหาเศรษฐีผู้มีอันจะกินอันจะใช้ เจียดเงินแลกกับการได้สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับ ยังมี “Blue Origin” ของ เจฟฟ์ เบซอส และ “Virgin Galactic” ของ ริชาร์ด แบรนสัน ที่กำลังขับเคี่ยวกันในเรื่องดังกล่าวด้วย

ความแตกต่างของแต่ละบริษัท จุดขายที่มี “จุดร่วม” เดียวกัน

ขอไล่เรียงตามลำดับการเปิดตัวเลยแล้วกัน เปิดหัวกันที่ “สเปซเอ็กซ์” ซึ่งอย่างที่บอกหลายคนที่ติดตามข่าวในวงการ หรืออาจจะนิยมชมชอบตัวของ อีลอน มัสก์ จากมิติอื่น ประมาณว่าอินมาจาก “เทสลา” ธุรกิจยานยนต์ที่เป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์อันเลื่องลือของบิลเลียนแนร์แอฟฟริกัน ซึ่งนับแต่ขลุกอยู่กับเรื่องนี้มากว่า 2 ทศวรรษ 

สเปซเอ็กซ์ประสบความสำเร็จมากมาย ก้าวหน้าในแทบจะทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เป็นบริษัทเอกชนที่ส่งยานอวกาศไปยังสถานีอวกาศได้เป็นแห่งแรก ต่อเนื่องด้วยการส่งมนุษย์ไปยังสถานนีอวกาศ และล่าสุดพาพลเรือ 4 คนท่องอวกาศ 3 วัน อย่างที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ต้นเรื่อง

ทางด้านของ “บลู ออริจิน” ของ เจฟฟ์ เบซอส อาจจะมีเส้นทางที่คล้ายคลึงกับ สเปซเอ็กซ์ ในเด้านการลดต้นทุนสร้างจรวด แต่ก็เป็นการเปิดเผยหลังอุบเงียบมานานกว่าทศวรรษ ซึ่งปัจจุบันก็ได้พัฒนาต่อเนื่องแบบเปิดเผยมีการให้รายละเอียดข้อมูลในเกือบจะทุกอย่างก้าวของแต่ละกระบวนการ ล่าสุด ตัวของ เจฟฟ์ และ มาร์ค เบซอส น้องชาย พร้อมกับพลเรือนอีก 2 คน ก็ได้ล่องพร้อมกับ New Shepard ชื่อยานอวกาศของพวกเขาออกไปชมทัศนียภาพบนอวกาศได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2021 นี้เอง

ทัวร์อวกาศ

เมื่อมี 2 เจ้าที่ใช้แนวทางหลักคล้ายคลึงกันแล้ว อีกหนึ่งบริษัทอย่าง เวอร์จิน กาแลคติก ของ ริชาร์ แบรนสัน เลือกทำสิ่งที่แตกต่างแบบสุดขั้ว ลืมภาพการปล่อยยานอวกาศภาคพื้นดินที่เราเคยเห็นกันมานักต่อนักได้เลย 

เพราะสิ่งที่มหาเศรษฐีชาวบริติชนำเสนอ เป็นการปล่อยยานอวกาศจากเครื่องบินในความสูงประมาณ 50,000 ฟุต ก่อนที่ยานจะจุดไอพ่นคู่หน้าอันเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของบริษัทอย่าง “WhiteKnightTwo” ทะยานต่อในแนวดิ่งอีกประมาณ 300,000 ฟุต สู่เส้นขอบอวกาศ โดยวิธีนี้จะทำให้ธุรกิจทัวร์อวกาศ เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน ประหยัดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงได้มากกว่าอีก 2 เจ้าแบบหมาศาลกันเลยทีเดียว

ความชัดเจนเรื่องทัวร์อวกาศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้ง บลู ออริจิน และ เวอร์จิน กาแลคติก นั้นนำเสนอแผนงานทัวร์อวกาศเชิงพานิชย์แบบชัดเจน พูดง่าย ๆ คือเปิดเผยแบไต๋กันไปเลยว่าที่พัฒนามาเนี่ย นอกจากจะสนองนี้ดความฝันของสองอภิมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบซอส กับ ริชาร์ด แบรนสัน เองแล้ว พวกเขายังมองถึงตลาดกลุ่มมหาเศรษฐีที่อยากจะสัมผัสสุดยอดประสบการณ์นอกโลกด้วยตัวเอง

แรกสุดเลยมีนักวิเคราะห์มองว่าในตลาดนี้ เวอร์จิน กาแลคติก นั้นยังตามหลัง บลู ออริจิน อยู่ประมาณนึง ไม่ว่าจะเนื่องด้วยการนำเสนอวิธีปล่อยยานสุดแหวกแนว หรืออะไรก็ตามแต่ ทว่า ความเป็นจริงนั้นกลายเป็นว่า เวอร์จิน กาแลคติก นั้นพาผู้คนออกไปท่องอวกาศได้ก่อน บลู ออริจิน ได้ก่อนเพียงแค่ 9 วัน หากมองแบบเชิงคู่แข่งนี่เหมือนกับการปาดหน้ากันแบบกลาย ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ

ทัวร์อวกาศ

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลมาว่า เที่ยวบินของ เวอร์จิน กาแลคติก นั้นขายที่นั่งไปประมาณ 600 ที่แล้วสำหรับทัวร์นี้ แถมมีการอ้างว่าเหล่าเซเลบริตี้ชื่อดังในวงการฮอลลีวูด หรือาจรวมนักกีฬาที่มีรายได้สูง แม้กระทั่ง อีลอน มัสก์ แห่ง สเปซเอ็กซ์ คู่แข่งยังอยากร่วมพิสูจน์ความแหวกแนวการพัฒนาที่ไม่เหมือนของบริษัทตัวเองอีกด้วย!

ทัวร์อวกาศ

เดินหน้าเพื่อเป็นที่สุดของวงการก่อนค่อยขายความพรีเมียม

แนวทางของ สเปซเอ็กซ์ ที่กุมบังเหียนโดย อีลอน มัสก์ ดูเหมือนจะเป็นมาแบบนั้นเสมอ แม้ว่าจะมีการทวิตการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโปรเจกต์ของเขาอยู่เรื่อยมา แต่ก็ไม่ได้เน้นเชิงพาณิชย์เหมือนกับ 2 แบรนด์คู่แข่ง 

แต่จากสิ่งที่พวกเขาทำได้ ความสำเร็จในการพัฒนาล่าสุด ถึงกระทั่งส่งพลเรือน 4 คน ออกสู่อวกาศยาวนานถึง 3 วัน เทียบกับ บลู ออริจิน และ เวอร์จิน กาแลคติก ที่ยังอยู่แค่หลักนาที แถมกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้ริ้วรอย มีการคาดว่าเที่ยวบินของ สเปซเอ็กซ์ แบบที่โชว์เหนือเมื่อไม่นานนี้ อาจมีมูลค่าสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว!

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก:

Branson’s Virgin Galactic trails Bezos’ Blue Origin in space tourism, while Musk’s SpaceX is in a league of its own (cnbc.com)

Blue Origin, Virgin Galactic or SpaceX: which space tourism venture has the right stuff? (thenationalnews.com)