อนาคตที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ เครื่องจักร CNC

เครื่องจักร CNC

สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้ เครื่องจักร CNC และได้ติดตามอัพเดตข่าวสารอยู่เสมอ น่าจะพอระแคะระคายมาบ้างแล้วว่าการใช้เครื่องจักรแบบเก่าอย่างเดียวกับอุตสาหกรรมนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

ด้วยอนาคตของการผลิตประเภทนี้นั้นมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น รวมถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดจนเรื่องของความต้องการด้านเวลาในการผลิต และแรงกดดันเรื่องต้นทุน ทั้งหมดล้วนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบรรลุความยืดหยุ่นในการผลิต ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ

โดยเราสรุปอนาคตที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักร CNC เป็น 5 ประเด็นสำคัญที่จะพูดถึงผ่านเนื้อหาด้านล่างได้ดังนี้

  • เปลี่ยนไปใช้การผลิตแบบ “High-Mix, Low-volume”
  • เน้นใช้งานเครื่องจักร CNC อเนกประสงค์เพื่อให้จบครบในเครื่องเดียว
  • เน้นระบบอัตโนมัติ CNC รวมถึงกระบวนการสนับสนุนต่าง ๆ 
  • ใช้งานซอฟต์แวร์วางแผนการผลิตและจัดการทรัพยากรเพื่อให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างเต็มที่
  • ดำเนินรอยตาม “Mega Trend” (แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ) ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมนี้ เน้นเรื่องของการสร้างฐานการผลิตใหม่ และความพร้อมใช้งานของแรงงานเป็นตัวกำหนด
เครื่องจักร CNC
Image by onlyyouqj on Freepik

ทบทวนอนาคตครบทั้ง 3 ภาคส่วนของอุตสาหกรรม CNC

ก่อนที่จะไปวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณเอง สามารถทบทวนลักษณะและแนวโน้มของการผลิต CNC ในอนาคตทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งหมด ผู้ผลิตรายบุคคล และพื้นที่ส่วนของโรงงาน ซึ่งแนวโน้มส่วนใหญ่มีผลกระทบในหลายระดับนอกเหนือจากที่กล่าวผ่านเนื้อหาทั้งสามสิ่งนี้

อุตสาหกรรมการผลิต

ความยั่งยืนมีความสำคัญพื้นฐานสำหรับอนาคตของโลกและมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ซึ่งความยั่งยืนในหลักสากลสามารถสรุปได้เป็นสามมุมมองที่สำคัญ หรือที่เรียกกันว่า “Triple-P” ประกอบด้วย ผู้คน (People), โลก (Planet) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) 

ภาคของอุตสาหกรรมการผลิตนั้นต้องการประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่สูงขึ้น การผลิตที่ตรงเวลามากขึ้น การปล่อยของเสียน้อยลง และนำเอารูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาใช้ เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยลดการปล่อย CO2 ซึ่งการพัฒนาสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีการนำระบบอัตโนมัติที่ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น แถมยังทำให้การผลิตมีความหมาย มีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

เครื่องจักร CNC
Image by kjpargeter on Freepik

คำกล่าวถึงการเพิ่มระดับของระบบอัตโนมัติที่บอกว่าเห็นได้ชัด สามารถพิสูจน์ได้ด้วยรายงานจาก IFR (International Federation of Robotics) ซึ่งมีข้อมูลแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการติดตั้ง “แขนหุ่นยนต์” เฉลี่ยต่อปีประมาณ 6% และเพื่อให้มองภาพของการเติบโตนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีการเปิดเผยตามข้อมูล IRF เศรษฐศาสตร์ของอ็อกซ์ฟอร์ด ได้สรุปโดยสมมติว่าอัตราการใช้หุ่นยนต์นั้นเร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับพื้นฐานทั้งหมดอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่า 4.9 ล้านล้านยูโร หรือ 5.3% ของ GDP โลกในปี 2030!

เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบอัตโนมัติไม่ได้แพร่หลายเฉพาะในแง่ของอัตราการทำงานอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งนี้ครอบคลุมถึงการวางแผนการผลิต ซึ่ง IFR ได้ให้ความสำคัญและมองว่านี่เป็นหนึ่งใน Mega Trend ในอนาคตอันใกล้นี้ จากข้อมูลทั้งหมดสามารถนำมาปรับใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดกับโรงกลึงที่ต้องใช้เครื่องจักร CNC ของคุณได้

บริษัทผู้ผลิต

ข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้ผลิตทางอุตสาหกรรมและความโปร่งใสของการเชื่อมต่อระหว่างโรงงานที่มากขึ้น นำมาสู่การผลิตแบบ “High-Mix, Low-volume”

เครื่องจักร CNC
Image by liuzishan on Freepik
  • เพิ่มการปรับแต่งและตัวแปร : ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีความซับซ้อนมากขึ้นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของชิ้นงานในการผลิตก็สั้นลงและมีความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อต้องรวมกับระยะเวลารอคอยสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการในการผลิตต้องผสมผสานประสิทธิภาพเข้ากับความยืดหยุ่นและมีความโปร่งใส
  • การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในตลาด : ความหมายของสิ่งนี้อาจหมายถึงความผันผวนของอุปสงค์โดยรวมหรือการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมที่ต้องการ “การปรับตัว” อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้ต้องการความยืดหยุ่นในการผลิต รอบการวางแผนที่สั้นลงอาจเกิดจากสาเหตุตามสัญญา หมายความว่าทั้งร้านขายเครื่องจักรหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะผลิตอะไรหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก
  • ข้อกำหนดด้านคุณภาพและการตรวจสอบย้อนกลับมีความต้องการมากขึ้น : ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ แต่ในอุตสาหกรรมการสร้างเครื่องจักรโดยทั่วไป ก็โดนความกดดันในเรื่องการลดต้นทุนอยู่เสมอ ทำให้ต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรจากการผลิตและการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
  • โรงงานมีการเชื่อมต่อระหว่างกันมากขึ้น : เนื่องจากการผลิตมักจะเกิดขึ้นในเครือข่ายบางแห่ง ความโปร่งใสและการแบ่งปันข้อมูลจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น ในโลกของการผลิตที่มีการเชื่อมต่อกัน การเปิดใช้งานโดยซอฟต์แวร์เพื่อดำเนินการผลิต เราสามารถรู้ได้ทันทีเมื่อชิ้นส่วนที่จำเป็นในการผลิตมาถึง เรียกว่ารู้โดยไม่ต้องเสียเวลาสอบถาม สามารถเช็คหลาย ๆ กระบวนการได้จากซอฟต์แวร์

เครื่องจักร CNC และพื้นที่การผลิต

ปัจจุบันนี้ เครื่องจักร CNC อเนกประสงค์เป็นที่นิยมอย่างมาก สนับสนุนการรวบรวมข้อมูล และระบบกระบวนการ มีซอฟต์แวร์การวางแผนการผลิต ช่วยให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเน้นย้ำเรื่องของการ “จบงานในเครื่องเดียว” ส่งผลให้เครื่องจักรอเนกประสงค์กลายเป็นสิ่งฮอตฮิต การใช้งานสิ่งนี้หมายความว่ากระบวนการตัดเฉือนนั้นเสร็จสมบูรณ์ได้โดยใช้การจับยึดที่น้อยลง และมักจะอยู่ในเครื่องเดียวกัน เช่น เครื่องกลึง เครื่องกัด ที่มี 4 หรือ 5 แกน สามารถตอบสนองความต้องการในการออกแบบชิ้นงานมากขึ้น และตัดสินใจเลือกวิธีการผลิตที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำกว่าที่เคย

เครื่องจักร CNC
Image by usertrmk on Freepik

การรวมหลาย ๆ อุปกรณ์เพิ่มเติมในเครื่องเดียวที่สนับสนุน CNC Machining เช่น การล้าง การวัด การทำเครื่องหมาย การตกแต่ง และอื่น ๆ ได้ถูกรวบรวมเข้ากับระบบอัตโนมัติเพื่อผลผลิตและกำลังผลิตที่สูงขึ้น มีกระบวนการที่มีเสถียรภาพมากขึ้น จัดการสิ่งที่ซับซ้อน ทั้งหมดนี้สั่งการได้ด้วยซอฟต์แวร์ 

ความท้ายทายในการวางแผนการผลิตและการจัดการทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของข้อมูล การทำงานร่วมกันระหว่างคน ซอฟต์แวร์ และเครื่องจักร จำเป็นต้องมีตัวเชื่อมที่มีประสิทธิภาพ สำหรับบทบาทดังกล่าวก่อนหน้านี้จะเป็น Excel แต่ปัจจุบันก็ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดีเท่ากับซอฟต์แวร์การวางแผนการผลิตเฉพาะทาง

ระบบอัตโนมัติ CNC อัจฉริยะ คืออนาคต?

ทุกความไม่แน่นอนในอนาคตสามารถจัดการได้ “ด้วยการวางแผน” การมีเครื่องมือที่ดี มีมายด์เซตต่อเรื่องนั้น ๆ ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องของอุตสาหกรรม CNC สิ่งที่เหมาะสมและจำเป็นคือ “ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ” โดยสิ่งนี้สามารถรวบรวมประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวทางกายภาพ เข้ากับกระบวนการการวางแผนการผลิต เกิดเป็นการผลิตแบบผสมผสาน มีความหยืดหยุ่น สั่งการได้จากทุกที่บนโลก เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ไปตลอดกาล 

สุดท้ายยังคงไว้ซึ่งหลักความยั่งยืนสากล “Triple-P” สมดุลสำคัญครบ ทั้ง โลก ผู้คน และผลกำไร…

Cover Image : Image by Freepik

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : FASTEMS

เทรนด์โลจิสติกส์กับการขนส่งอุตสาหกรรมในปี 2022 ที่น่าสนใจ

โลจิสติกส์

ความเสียหายต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ซึ่งอันที่จริงแล้วปี 2021 ณ ปัจจุบันที่กำลังจะผ่านพ้นไป เริ่มมีการวางโครงสร้าง มองหากลยุทธ์ใหม่ ๆ มาปรับใช้กับวงการ “โลจิสติกส์” อันเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญต่ออุตสาหกรรมแทบจะทุกประเภท หลาย ๆ โรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก ทั่วประเทศ รวมถึงโรงกลึงพีวัฒน์ก็ต่างเจอปัญหาจากผลกระทบเรื่องการขนส่งที่มีต้นเหตุจากโรคระบาดไม่น้อยเช่นกัน

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากสิ่งที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า แต่หลังจากที่ทั่วโลกได้ประเมินแล้วว่าต้องอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ไปอีกพักใหญ่ การมองถึงเรื่องอนาคตโดยนำเอานวัตกรรมต่าง ๆ มาผูกกับระบบการขนส่งจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ กลายเป็นหัวข้อที่เราจะพูดคุยกันในวันนี้

โลจิสติกส์ กับ Covid-19

อุตสาหกรรมโลจิสติกส์เคยมีมูลค่าสูงถึง 7,641.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2017 แต่พอเจอกับพิษ Covid-19 เข้าไปทำเอาลดลงมาเหลือ 5,200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2019 ส่วนต่างขนาดนี้ต่อให้เราไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง เห็นตัวเลขที่หายไปยังรู้สึกน่าตกใจไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ..

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ที่เริ่มคลึ่คลายลงในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ข้อมูลล่าสุดที่เราได้สืบค้นมา ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมโลจิสติกส์กำลังจะกลับมาเข้ารูปเข้ารอย อาจเติบโตไปถึงตัวเลขระดับ 12,975.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2027 ได้ไม่ยาก

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมนี้ และในปี 2022 ที่กำลังจะถึง เราได้นำแนวโน้มที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพให้กับวงการโลจิสติกส์ โดยเนื้อหาทั้งหมดอยู่ด้านล่างแล้ว ตามไปเสพย์กันได้เลย

โลจิสติกส์

เทรนด์ โลจิสติกส์ ที่น่าสนใจในปี 2022

ต้องบอกกันแบบนี้ก่อนว่าในช่วงที่หลาย ๆ อุตสาหกรรมเจอกับผลกระทบอย่างหนักหน่วง แต่เรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมนั้นรุดหน้าอยู่เสมอ โดยเนื้อหาต่อไปนี้จะเทรนด์ที่น่าสใจเกี่ยวกับการยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ที่อาจจะเข้ามามีอิทธิพลในปี 2022 รวมถึงปีต่อ ๆ ไป

คลาวด์ คอมพิวติ้ง

แม้ว่าอาจมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลในช่วงแรกที่มีการเริ่มใช้ แต่การนำระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง มาใช้นั้นถือเป็นโอกาสใหญ่ของบริษัทที่จะก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดเรื่องโลจิสติกส์จากโมเดล SaaS (Software-as-a-Service) ที่จะช่วยให้เข้าถึงผลกำไรที่สูงขึ้นเกินกว่าผลตอบแทนทั่วไปจากความสามารถขององค์กร

คลาวด์จะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานสำหรับงานบริการโลจิสติกส์ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อดีมีมากมาย ทั้งช่วยลดค่ายใช้จ่ายด้านไอทีสำหรับการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานและการตั้งค่าโซลูชั่น ช่วยให้ผู้บริการกำหนดเป้าหมายธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องกาาชำระค่าเทคโนโลยีตามการสมัครรับใช้ข้อมูล โดยเหล่านี้มีบริษัทซัพพลายเชนร่วมเป็น Third Party คอยตอบสนอง แก้ปัญหา เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน

เทคโนโลยีบล็อคเชน

แอปพลิเคชั่นบล็อคเชนมีศักยภาพสูงในการเติมเต็มฟังก์ชั่นด้านโลจิสติกส์ เป็นตัวกำหนดทิศทางการกระจายสินค้าและการขนส่งในปี 2022 และปีต่อ ๆ ไป  มีความสามารถในการแก้ปัญหาสำคัญ ๆ ได้โดยการสร้างบันทึกดิจิทัลที่เข้ารหัสซึ่งติดตามสินค้าในทุกขั้นตอนของซัพพลายเชน มองเห็นได้อย่างชัดเจนหากเกิดความผิดปกติที่ส่งผลต่อการขนส่ง ช่วยให้บริษัทเข้าถึงปัญหาหาและแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญที่สุดสำหรับ บล็อคเชน สามารถทำให้กระบวนการโลจิสติกส์เป็นไปอย่างอัตโนมัติ แถมยังตรวจสอบ สนับสนุน แบ่งปันข้อมูลได้อย่างปลอดภัย และบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โลจิสติกส์

Internet of Things (IoT) 

ปัจจุบันสิ่งนี้อาจจะยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร แต่แนวคิดระบบการขนส่งอัจฉริยะ การวางแผนเส้นทาง อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ได้ผสานรวมโซลูชั่น AI เข้ากับการดำเนินงาน นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ได้รับการพูดถึงและจะเพิ่มศักยภาพได้อย่างมหาศาล

แบบสำรวจของการใช้ AI ทั่วโลก การนำสิ่งนี้มาใช้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการขนส่ง สามารถเพิ่มผลกำไรของบริษัทได้มากกว่า 40% ต่อปี และการที่บริษัทยักษ์ใหญ่บางแห่งเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี AI เพื่อประหยัดเงินและเวลาในอนาคต ก็น่าจะเป็นคำตอบได้อย่างดี

รถบรรทุกไร้คนขับ

น่าจะยังเร็วเกินไปนิด หากจะพูดเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรายังเห็นข่าวรถพลังงานไฟฟ้าของ Tesla ใช้ระบบ “ออโตไพลอต” แล้วยังเกิดอุบัติเหตุตามท้องถนนอยู่..

ซึ่งก็เป็นไปตามที่แหล่งข้อมูลได้กล่าวไว้ เทคโนโลยีการขับขี่ด้วยตนเองยังอยู่ในระหว่างพัฒนาและปรับปรุง ยังมีอุปสรรคอีกหลายอย่างที่ต้องเอาชนะ เช่น การปรับปรุงซอฟต์แวร์ไร้คนขับเพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดบนถนนในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น ซึ่งถือเป็นงานหินพอสมควร แต่ก็เป็นหนึ่งในแนวโน้มอันสอดคล้องกับคมนาคมขนส่งในอนาคตที่ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์เอาไว้ หากทุกอย่างลงตัวพร้อมใช้งาน นี่น่าจะเป็นเทรนด์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดเทรนด์นึง ชนิดที่คนทั่วไปเห็นแล้วยังต้องอึ้งกันเลย

Last-Mile Delivery

ภาษาธุรกิจของอุตสาหกรรมของโลจิสติกส์ หากเรียกกันแบบให้เข้าใจง่ายที่สุดน่าจะเป็น “ไม้สุดท้าย” ของการขนส่งนั่นเอง

บริษัทต่าง ๆ ได้พัฒนาเรื่องนี้กันมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การจัดสั่งอันราบรื่นที่สุด โดยในปี 2022 ที่จะถึงนี้ มีองค์กรจำนวนไม่น้อยพร้อมจะใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลอัพเดตแบบเรียลไทม์ ตลอดจนกระทั่งเหตุผลในการที่สินค้ายังไม่ถูกจัดส่ง รวมถึงแนวทงการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของการขนส่งเคสบายเคสแบบละเอียด

การส่งมอบไม้สุดท้ายเป็นส่วนสำคัญที่สุดของกานขนส่งเลยก็ว่าได้ เพราะมีความเกี่ยวข้อโดยตรงกับระดับความพึงพอใจของลูกค้า แต่สิ่งที่ทำให้เทรนด์นี้อยู่ในลำดับท้าย ๆ ที่จะนำมาพิจารณาทั้ง ๆ ที่หากทำได้ดีจะส่งผลดีกับบริษัทโดยตรง นั่นเป็นเพราะมีอีกหลายปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมขององค์กรนั่นเอง

โลจิสติกส์

อย่างที่เรารู้กันว่าหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โรคระบาดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ได้ก็มาในรูปแบบของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มารองรับ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาจากเรื่องดังกล่าว หรือการเพิ่มศักยภาพ เพิ่มหนทางใหม่ ๆ ในการผลักดันให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ เหมือนกับเทรนด์ของอุตสาหรรมโลจิสติกส์ที่เรานำมาพูดคุยกันผ่านเนื้องหาวันนี้ หากคุณรู้สึกสนใจหัวข้อไหน สามารถต่อยอดหาข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดเชิงลึกเพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้เลย

ขอขอบคุณเนื้อหาสาระจากแหล่งข้อมูล และบทความดี ๆ จากต้นทางมา ณ ที่นี้

https://www.globaltrademag.com/what-does-2022-have-in-store-for-the-shipping-logistics-industry/

https://xtendedview.com/business/emerging-logistics-industry-trends/8813/

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ คืออะไร ? ทำไมคนทำงานอุตสาหกรรมต้องรู้จัก

การดำเนินการผลิตชิ้นงานหรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมจำนวนมาก (mass production) ให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับ “interchangeability” หรือความสามารถในการแลกเปลี่ยนกันได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบให้ง่ายขึ้น ไวขึ้น (เพราะต้องผลิตเป็นจำนวนมาก) และช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยนั่นเอง สิ่งสำคัญคือต้องมีวิธีการจัดวางตำแหน่งที่ง่ายและรวดเร็ว วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวมานั้น อุปกรณ์ชนิดนี้มีชื่อว่า จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่า จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ คืออะไร

“จิ๊กและฟิกซ์เจอร์” หรือ อุปกรณ์จับยึด เป็นเครื่องมือในการผลิตที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนที่เหมือนๆ กันหรือซ้ำๆ กัน และใช้แทนกันได้อย่างแม่นยำ กล่าวคือเป็นเครื่องมือที่มีคุณสมบัติ interchangeability ดังที่ได้กล่าวไป ที่สำคัญในแต่ละโรงกลึง ส่วนใหญ่แล้วจิ๊กและฟิกซ์เจอร์จะได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้สามารถกลึงหรือประกอบชิ้นส่วนจำนวนมากให้ออกมามีสเปค รูปร่างและขนาดได้เหมือนกัน และเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนประกอบสามารถเปลี่ยนกันได้ (หมายถึงมีคุณสมบัติ interchangeability แลกเปลี่ยนกันได้ ใช้แทนกันได้ในแต่ละชิ้นงาน เพราะมีรูปร่าง ขนาด สเปค เหมือนกันเป๊ะๆ นั่นเอง)

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ คืออะไร

Jigs (จิ๊ก)

เป็นอุปกรณ์จับยึดชิ้นงาน ตามตำแหน่งที่ถูกระบุไว้ เพื่อนำทางให้เครื่องมือตัด สำหรับการผลิตชิ้นงานแบบเฉพาะทาง เช่น อะไหล่แต่งรถ อะไหล่ชิ้นส่วนเครื่องจักรเฉพาะทาง เป็นต้น

โดยปกติจิ๊กจะติดตั้งบูชเหล็กชุบชนิดแข็ง เพื่อความแข็งแรง แน่นหนา เพื่อจับยึดไม่ให้ชิ้นงานไม่ขยับไปไหน ในขณะที่เครื่องมือตัดกำลังทำงาน ซึ่งก็ถือว่าเป็นการแนะแนวทางการเดินของเครื่องตัดไปในตัว เพราะเครื่องตัดก็จะต้องตัดตามแนวทางที่จิ๊กยึดไว้ตามตำแหน่ง ดังที่กล่าวอีกนัยนึงคือจิ๊กถือเป็นเครื่องมือประเภทหนึ่งที่ใช้ควบคุมตำแหน่งและ/หรือการเคลื่อนไหวของเครื่องมืออื่นๆ ในการผลิต

จุดประสงค์หลักของจิ๊กคือการให้ความสามารถในการทำซ้ำ ความแม่นยำและ ความสามารถในการใช้แทนกันได้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ดังที่กล่าวไปเรื่องคุณสมบัติ interchangeability

สรุป: อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ทั้งสองอย่าง จับงานและชี้แนะเครื่องมือในการผลิต เรียกว่า “จิ๊ก”

จิ๊กและฟิกซ์เจอร์ คืออะไร

ฟิกซ์เจอร์ (Fixtures)

เป็นอุปกรณ์จับชิ้นงานที่ยึดรองรับและระบุตำแหน่งชิ้นงานสำหรับการใช้งานเฉพาะ แต่ไม่ได้แนะนำทางเดินให้กับเครื่องมือตัดเหมือนอย่างจิ๊ก

สิ่งที่ทำให้ฟิกซ์เจอร์ไม่เหมือนใคร คือแต่ละชิ้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เข้ากับชิ้นส่วนหรือรูปร่างเฉพาะ โรงกลึงแต่ละที่ส่วนใหญ่ก็จะมีฟิกซ์เจอร์ของตัวเองก็ว่าได้

จุดประสงค์หลักของการติดตั้งฟิกซ์เจอร์คือ เพื่อค้นหาและในบางกรณีถือชิ้นงานระหว่างการตัดเฉือนหรือกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่นๆ จิ๊กแตกต่างจากฟิกซ์เจอร์ตรงที่มันนำเครื่องมือไปยังตำแหน่งที่ถูกต้องนอกเหนือจากการระบุตำแหน่งและรองรับชิ้นงาน

ตัวอย่าง: แท่นจับชิ้นงาน

สำหรับในบทความนี้คิดว่าทุกคนคงได้รู้จักจิ๊กและฟิกซ์เจอร์กันมากขึ้น เข้าใจประโยชน์ของเครื่องมือชนิดนี้กันบ้างแล้ว สำหรับครั้งหน้าบทความดีๆ จากโรงกลึงพี-วัฒน์จะของนำเสนอข้อดีของจิ๊กและฟิกซ์เจอร์ แล้วรอติดตามกันได้เลยครับ

ขอขอบคุณบทเรียนด้านเครื่องมืออุตสาหกรรมจาก nitc.ac.in