วิทยาการ หุ่นยนต์ ฉบับปี 2023 ยกระดับธุรกิจด้วย Robotics กันเถอะ !

หุ่นยนต์

มีมาต่อเนื่องจริง ๆ สำหรับ “คาดการณ์” ทั้งหลายแหล่เกี่ยวกับแวดวงอุตสาหกรรมต่าง ๆ ขอร้องขอวอนเลยว่าอย่างเพิ่งเบื่อกับเนื้อหาประเภทนี้ เพราะมันอาจจะช่วยอัพเดตข้อมูลที่จะทำให้คุณสามารถหยิบไปใช้พัฒนาธุรกิจองค์กรของคุณได้ โดยเฉพาะเรื่องของ “เทรนด์หุ่นยนต์” แม้เราจะเพิ่งพูดถึงไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่วิทยาการของเจ้า “หุ่นยนต์” ในอุตสาหกรรมนั้นพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหุ่นยนต์ที่คอยช่วยงานอุตสาหการ โรงงาน สายพานการผลิต โรงกลึงต่าง ๆ และบอกเลยว่าหากคุณเป็นหนึ่งคนที่ข้องเกี่ยวกับกิจการประเภทนี้และหากไม่ได้ติดตามอยู่เสมอ บางทีอาจทำให้คุณพลาดสิ่งดี ๆ ที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณเลยก็ได้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน.. เทรนด์ “Robotics” ปี 2023 รู้ไว้.. ปรับใช้ ยกระดับธุรกิจคุณได้!

7 คาดการณ์เทรนด์ “อุตสาหกรรมหุ่นยนต์” สู่ธุรกิจ

ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มที่หุ่นยนต์ยังเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ มีความเทอะทะแถมยังกินพื้นที่อย่างมากภายในโรงงาน ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน หุ่นยนต์มีความหลากหลายและปรับเปลี่ยนได้มากกว่าที่เคยเป็นมา จนกลายเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจไปเสียแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อเร็ว ๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงมากมายของแวดวงธุรกิจ การหยุดชะงักของซัพพลายเชน การขาดแคลนแรงงาน แม้กระทั่งความไม่สงบที่เกิดขึ้นของปัญหาระหว่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินการ ปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ สำหรับเครื่องมือหลักในการท้าทายสถานการณ์เหล่านี้นั้นก็คือเทคโนโลยี “หุ่นยนต์” ส่วนด้านล่างต่อไปนี้เป็น 7 การคาดการณ์ล่าสุดของวิทยาการนี้ในปี 2023…

1. ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

หุ่นยนต์
Image by Freepik

แหล่งข้อมูลได้ชี้ถึงความสำคัญของการที่นักวิเคราะห์ได้กล่าวว่า 1 ใน 3 ขององค์กรยุโรปกำลังให้ความสำคัญกับระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ตอนนี้เรากำลังก้าวสู่ทศวรรษแห่งข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ก็ไม่ต่างกัน เทคโนโลยีการทำงานแบบอัตโนมัติกลายเป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากขึ้น โดยเน้นที่การใช้โชลูชันตามเนื้อหาที่ได้รับจากการเก็บสถิติบนโลกแห่งความจริง ซึ่งระบบโลจิสติกส์เป็นที่เดียว ณ ตอนนี้ ที่จะทำให้คุณได้เห็นระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งหลายที่ก็ได้ใช้หุ่นยนต์เข้ามาเป็นส่วนในการตัดสินใจด้วยเหตุผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล

2. การเพิ่มความสามารถให้มนุษย์ด้วยหุ่นยนต์

เทคโนโลยีหุ่นยนต์ยังถูกนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 35 เปอร์เซนต์ ขององค์กรจะรวบรวมหุ่นยนต์เชิงกายภาพผสมผสานกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ พัฒนาความสามารถของมนุษย์ และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน บริษัทต่าง ๆ เริ่มตระหนักมากขึ้นว่าหุ่นยนต์ไม่ได้มาแทนที่งานของมนุษย์ แต่เป็นวิธีที่จะปรับปรุงสิ่งที่มนุษย์ทำได้อยู่แล้ว เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมประสบปัญหาทักษะและการขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์จึงเข้ามาเสริมในจุดนี้ เรียกว่าเป็นการเติมเต็มช่องว่างที่มีได้อย่างแนบเนียน

3. การใช้ Cobot เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หุ่นยนต์
Image by Lifestylememory on Freepik

เจ้า Cobot หรือในพากย์ไทยว่า “หุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน” ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งคีย์แมนแนวหุ่นยนต์ในทศวรรษที่ผ่านมา และคาดว่าโคบอทจะคิดเป็น 30 เปอร์เซนต์ ของตลาดหุ่นยนต์ทั้งหมดภายในปี 2027 โคบอทนั้นได้รับการออกแบบมาให้ทำงานเคียงข้างมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยและใช้งานง่าย ทำให้เหมาะสำหรับบริษัทที่ไม่มีประสบการณ์ด้านวิทยาการหุ่นยนต์มาก่อน และไม่มีพื้นที่หรือทรัพยาเพียงพอจะรองรับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องมีมาตรการป้องกันความปลอดภัยในระดับสูง

4. หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ “กำลังจะมา”

สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติกำลังย่างกรายเข้าสู่ธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในภาคส่วนของ “โลจิสติกส์” ณ งานแสดงสินค้าของ Automatica (งานจัดแสดงเทคโนโลยี Automation) ครั้งที่ผ่านมา มีหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติมากมายที่ถูกพัฒนาขึ้น เทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นตั้งแต่แรก เริ่มถูกใช้งานแพร่หลาย ส่วนที่พัฒนาใหม่ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย ซึ่งตอนนี้ก็มุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าใหญ่อย่างโลจิสติกส์ ก่อนที่จะขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป

5. ระบบอัตโนมัติสำหรับประกอบชิ้นส่วน “อิเล็กทรอนิกส์” จะเติบโต

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับวิทยาการหุ่นยนต์คือการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการประกอบชิ้นส่วนนั้นกำลังมา! ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดตอนนี้ เช่น การขันสกรูด้วยหุ่นยนต์เป็นงานทำซ้ำที่ทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่า เป็นหนึ่งในกระบวนการที่ทำให้งานประกอบนั้นเสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก หุ่นยนต์สามารถประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ได้อย่างสม่ำเสมอกว่าแรงงานมนุษย์ที่ทำงานลักษณะเดียวกัน สิ่งนี้สามารถประหยัดเวลาและงบของบริษัทในขณะที่ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการประกอบผลิตภัณฑ์ด้วยมนุษย์ควบคู่กันไป

หุ่นยนต์
Image by Freepik

6. อุตสาหกรรมยานยนต์ “ตกบัลลังก์” ด้านหุ่นยนต์เป็นครั้งแรก

นับเป็นเวลานานมากแล้วที่อุตสาหกรรม “ยานยนต์” นั้นเป็นผู้นำของระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ แต่ล่าสุดก็เสียตำแหน่งนี้แล้วเรียบร้อย ในปี 2020 จำนวนการนำหุ่นยนต์ไปใช้ในงานยานยนต์นั้นมากกว่าประเภทอื่นเป็นปกติ แต่ปี 2021 มีจำนวนเท่ากับการใช้งานในอุตสาหกรรมอื่นรวมกันเป็นครั้งแรก จากข้อมูลนี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่าอุตสาหกรรมอื่นนั้นเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

7. วิทยาการหุ่นยนต์ที่ชาญฉลาดและปรับตัวได้มากขึ้น

ขึ้นชื่อว่า “หุ่นยนต์” นอกจากจะพัฒนาเรื่องความฉลาดได้เรื่อย ๆ แล้ว ตอนนี้การปรับได้หลากหลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยม เทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่ของหุ่นยนต์สามารถรวบรวมข้อมูลตามเวลาจริงเข้ากับการปฏิบัติงานได้ ซึ่งนั่นจะทำให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ตลอดจนการดำเนินงานทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของอัลกอริธึมปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้งานได้จริง มีการคาดหวังว่าเร็ว ๆ นี้ ทุกคนจะได้เห็นหุ่นยนต์ชั้นสูงและมีความสามารถที่ซับซ้อนมากขึ้นในไม่กี่ปีข้างหน้า

เหนือสิ่งอื่นใด “หุ่นยนต์ต้องใช้งานง่าย”

กุญแจสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ นอกจากความอัจฉริยะ ความฉลาดของ AI สิ่งที่ทำให้ถูกเลือกใช้จนกลายมาเป็นเทรนด์ฮอตฮิต คือ การเพิ่มขึ้นของหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมร่วมสมัยผ่านการใช้งานด้วยแอพพลิเคชั่น ทำให้อุปสรรคในการก้าวเข้าสู่ระบบหุ่นยนต์อัตโนมัตินั้นลดน้อยลง ซึ่งในปัจจุบัน หุ่นยนต์กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกบริษัทที่จะใช้ ไม่ใช่แค่บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าแนวโน้มไปสู่หุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายจะดำเนินต่อไป นอกจากชุดแอพพลิเคชั่นแล้ว เราจะได้เห็นโมเดลธุรกิจที่ใช้หุ่นยนต์เป็นบริการเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

แม้เราอาจยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่แน่ชัดของสิ่งต่าง ๆ ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไรในปี 2023 นี้ แต่หวังว่าการคาดการณ์สำหรับเทรนด์ที่จะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ภายในเนื้อหาวันนี้ ช่วยให้คุณเกิดไอเดียมาปรับใช้กับธุรกิจคุณได้ และหากคุณยังไม่เคยลองศึกษาการใช้หุ่นยนต์ในธุรกิจ… ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าตอนนี้แล้ว!

Credit : ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลมา ณ ที่นี้

คาดการณ์เทรนด์ CNC Machining คีย์สู่ความสำเร็จของธุรกิจปี 2023

cnc

อย่าเพิ่งเอียนกับข้อมูลจำพวก “คาดการณ์” หรือ “เทรนด์ธุรกิจ” เพราะช่วงปลายปีต่อเนื่องจนถึงต้นปี คุณยังต้องเจออีกเยอะ! แต่เชื่อเถอะว่าเนื้อหาที่กลั่นกรองจากความรู้จากประสบการณ์ ก่อนจะผ่านปลายนิ้วมาเป็นบทความให้พวกเราได้เสพย์กัน เราได้ทำการเฟ้นหา รีเซิร์ชคัดเอาแต่ผลงานของผู้ที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการนี้ เรียกได้ว่าหลาย ๆ อย่างที่คุณกำลังจะได้อ่าน หากเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม ล้วนแล้วแต่ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าพร้อมแล้วไปติดตามเทรนด์ที่จะช่วยคุณขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จบนอุตสาหกรรม CNC Machining ได้เลย

7 เทรนด์ CNC Machining “มาแน่” ปี 2023

โดยแหล่งข้อมูลที่เรานำมาแชร์กันในวันนี้ มาจากคาดการณ์ประจำของ “STECKER” ผู้ผลิตเครื่องจักรแห่งสหรัฐอเมริกา ความช่ำชองของพวกเขาการันตีด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 50 ปี นับแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1973 ซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำประจำทุกปีเหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว คือ “คาดการณ์” เทรนด์เกี่ยวกับธุรกิจที่พวกเขานั้นถือเป็น “ตัวตึง”

ต่อไปนี้เป็นแนวโน้ม 12 เดือนข้างหน้า จากประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกของอุตสาหกรรมโรงกลึง CNC Machinng ที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของอุตสาหกรรมตลอดทั้งปีและอาจรวมถึงปีต่อ ๆ ไป

cnc
Image by usertrmk on Freepik

1. การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของระบบอัตโนมัติ

การใช้ระบบอัตโนมัติอย่างชาญฉลาดเป็นหนึ่งวิธีการเพื่อเผชิญหน้ากับตลาดแรงงานที่ท้าทาย แต่จะนำไปใช้อย่างไรและเมื่อไหร่ถึงจะดีที่สุด นี่เป็นคำถามที่น่าสนใจอย่างมาก…

ว่ากันตามเนื้อผ้า เฉพาะในโครงการ เครื่องกลึง CNC ปริมาณมากเท่านั้นที่จะปรับค่าใช้จ่ายในการเพิมเซลล์ทำงานอัตโนมัติ (มักจะใช้ในหุ่นยนต์) นั่นไม่ใช่กรณีหลักอีกต่อไป วิทยาการหุ่นยนต์สมัยใหม่มีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคย มีความสามารถในการตั้งค่าโปรแกรมเพื่อตอบสนองความต้องการในการตัดเฉือนที่หลากหลายสำหรับชิ้นส่วนต่าง ๆ

นอกจากนี้ งานที่มีปริมาณน้อยหรือโครงการ “จัดหางาน” ยังอาจต้องพึ่งกระบวนการ “ทำซ้ำ” และบ่อยครั้งในการ “ยกของหนัก” และเมื่อมีข้อจำกัดด้านแรงงานเกิดขึ้น กระบวนการอัตโนมัติโดยหุ่นยนต์สามารถจัดการแทนในส่วนนี้ได้ในราคาที่เหมาะสม

2. เปิดประตูสู่เทคโนโลยีกว้างขึ้น

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยนี้นั้นรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น “โคบอท (Cobot)” หุ่นที่ทำงานร่วมกันกับมนุษย์ เริ่มเข้ามามีบทบาทขึ้นเรื่อย ๆ ในธุรกิจอุตสาหกรรมงานกลึงสมัยใหม่

การทำงานร่วมกันแบบเคียงข้างกันระหว่างหุ่นยนต์กับพนักงานที่เป็นมนุษย์อาจดูเคอะเขินในช่วงแรก แต่การปรับเปลี่ยนและพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นราบรื่นช่วยทำให้ทั้งสองนั้นดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นเป็นลำดับ เรื่องแบบนี้ไม่สามารถโกหกได้ด้วยผลลัพธ์อันชัดเจนที่บอกว่าการทำงานร่วมกันของสองสิ่งนี้นั้นทำให้งานคุณภาพสูงกว่า มีความสม่ำเสมอกว่า และเชื่อถือได้ในทุกระบวนการ รอแค่วันที่จะพัฒนาไปสู่วงกว้างอย่างแท้จริงในเร็ววันนี้

3. มองโลกในแง่ดีด้วยความ “ระมัดระวัง”

การมองโลกในแง่ดีด้วยความระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ แม้ว่าทั่วทั้งอุตสาหกรรมนั้นยังคงมี “คำสั่งซื้อ” ที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งน่ากลัวเป็นคำที่เพิ่งถูกเปล่งออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในเรื่องของ “สภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ทำให้ธุรกิจจำนวนมากจำเป็นต้องคาดการณ์อย่างระแวดระวังตัวมากขึ้น เช่น การลงทุนด้านเงินทุนต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนซื้อ และการจ้างงานเพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานในทันทีนั้นควรทำโดยจำกัดจำนวนไม่ให้มากจนเกินไป

4. มุ่งเน้นไปยังตลาดที่ “กำลังจะมาถึง” มากขึ้น

ในบางอุตสาหกรรมต้านทานความผันผวนของตลาดได้ดีกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น แม้ว่าจะมีคลื่นสึนามิทางธุรกิจที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวทางธุรกิจ แต่ธุรกิจเครื่องจักร CNC สามารถไปต่อโต้ล้อไปกับคลื่นลูกนี้ได้ด้วยการผลิตเพลาไฟฟ้าออกจำหน่าย!

ไม่ว่าอุตสาหกรรมจะดำเนินกิจการออกนอกกรอบธุรกิจปกติหรืออยู๋ในโหมดการเติบโต แต่เมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูง ธุรกิจจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปยังโอกาสที่อยู่นอกเหนือ “คอมฟอร์ทโซน” และสิ่งนี้อาจขยายขอบเขตธุรกิจของคุณได้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

cnc
Image by frimufilms on Freepik

5. จับตาต้นทุนพลังงาน

สถานการณ์โลกตอนนี้คาดเดาได้ยาก เรื่องความขัดแย้งของมหาอำนาจใหญ่ส่งผลกระเพื่อมไปทั่วโลก และสิ่งที่อยู่ในลิสต์ต้น ๆ เป็นเรื่องของต้นทุนพลังงาน ราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรอื่น ๆ มีผลกระทบต่อธุรกิจ รวมถึงเครื่องกลึงก็ด้วย

นักวางแผนเชิงกลยุทธ์ไม่เพียงต้องรู้ทันเหตุการณ์ระดับโลกเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นอีกด้วย การพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็วทั้งในระดับโรงงานและทั้งองค์กรจะทำให้ธุรกิจคุณได้เปรียบเมื่อมีความท้าทายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

6. มองหลังเรื่อง “โรคระบาด” เสมอ

โรคระบาดยังเป็นสิ่งที่คุณต้องคอยส่องผ่านกระจกมองหลังอยู่เรื่อย ๆ หลังการอุบัติขึ้นของ COVID-19 ที่ทำการเขย่าทุกวิ่งที่อย่างมาเป็นเวลากว่าสองปี เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย ดีมานด์ซัพพลายวุ่นไปหมด การจัดหาวัสดุก็ทำได้ยาก ไหนจะความท้าทายด้านแรงงานที่ทำให้การผลิตนั้นช้าลงอีก แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องประคับประคองให้ธุรกิจดำเนินต่อไปให้ได้

สุดท้ายแล้ว 2-3 เดือนก่อนจบปี 2022 เสถียรภาพของอุตสาหกรรมโรงกลึง นั้นดีขึ้นอย่างมาก หลายบริษัทที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านเครื่องกลึง และอื่น ๆ ไม่ถูกจำกัดด้วยปัญหาจากโรคระบาดอีกต่อไป เรียกว่าพวกเขานั้นปรับปรุงและพัฒนาจนอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งไปกับสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างกลมกลืน

7. ความคาดหวังสูงกว่าเดิม

ในช่วงที่เกิดโรคระบาด ลูกค้าจำนวนมากรู้สึกโล่งใจที่ได้รับการจัดส่งชิ้นส่วนบางส่วน มีทั้งตรงเวลา และอาจคาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย แต่หลายคนก็เข้าใจได้ด้วยเหตุผลความไม่ปกติของโรคระบาด

จริง ๆ แล้วมันควรจะเป็นความคาดหวังที่ลดน้อยลง แต่มันดันกลับกัน! เหมือนว่าลูกค้าได้ให้เวลาคุณปรับเปลี่ยน ปรับตัวมาเป็นเวลาสองปีกว่า ตอนนี้พวกเขาคาดหวังมากขึ้นในทุกมิติ ต้องดีขึ้น เร็วขึ้น รวมถึงเรื่องของราคาก็ด้วย เตรียมตัวไว้ให้พร้อม!

ชุดข้อมูลพร้อม ถึงตาคุณแล้ว!

การสรุปคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโรงกลึงภายใน 7 ข้อนั้นอาจจะดูรวบรัดตัดตอนเกินไปเล็กน้อย หากมองถึงการมีอยู่มาช้านานของธุรกิจนี้ แต่ด้วยพื้นฐานที่หลาย ๆ องค์กร หลายผู้ประกอบธุรกิจก็น่าจะอัพเดตกันมาเรื่อย ๆ ปีต่อปี เราก็อยากจะฝากชุดข้อมูล 7 เทรนด์ ที่หนึ่งในบริษัทเก่าแก่ด้านเครื่องจักรกลของสหรัฐอย่าง STECKER ไว้ประกอบการวิเคราะห์กันสักหน่อย และหากเป้าหมายของคุณคือการเข้าถึงระดับความเป็น “ร้านค้ายอดนิยม” ตอนนี้คุณมีแนวโน้มคาดการณ์อุตสาหกรรม CNC Machining ที่ถูกกลั่นมาจากประสบการณ์ครึ่งศตวรรษอยู่ในมือแล้ว ลองลุยดูได้เลย!

cnc
Image by wirestock on Freepik

Cover Image : Image by user6702303 on Freepik

Credit : ขอขอบคุณข้อมูลในบทความดี ๆ จาก STECKER

Lean Automation ระบบอัตโนมัติแบบลีนในอุตสาหกรรมการผลิต

Lean

สำหรับระบบลีน (Lean) เป็นที่รู้กันดีในแวดวงธุรกิจว่าสิ่งนี้เป็นแนวคิดเพื่อใช้ปรับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลัก ๆ คือการลดสิ่งที่ไม่ช่วยให้เกิดมูลค่า (Waste) และแนวคิดนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้กับโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตเช่นกัน ซึ่งหากคุณรู้แบคกราวน์ รู้รายละเอียดกระบวนการภายในธุรกิจของคุณอย่างละเอียด ก็สามารถใช้แนวคิดนี้ออกแบบได้ตามหลักการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงธุรกิงที่มีกระบวนการชัดเจนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตอย่างโรงกลึงเองก็เช่นกัน

ส่วนในเรื่องของขั้นตอนการผลิตปัจจุบันนี้ หากจะเริ่มนำการผลิตแบบลีนมาใช้ในการปฏิบัติงานรวมถึงระบบอัตโนมัติ (Automation) แม้ช่วงแรกอาจจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นในเรื่องของอุปกรณ์และการวางระบบ แต่หากทำอย่างเหมาะสม คุณจะสามารถคาดการณ์ถึงต้นทุนที่ลดลงซึ่งจะสวนทางกับผลกำไรที่อาจเพิ่มขึ้น

Image by rawpixel.com on Freepik

ทำความรู้จัก “ระบบอัตโนมัติแบบลีน” คืออะไร?

ระบบอัตโนมัติแบบลีน หรือ Lean Automation คือการนำระบบลีนซึ่งเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับการทำงานของคุณ และหัวใจสำคัญของการผลิตแบบลีน แทนที่จะมุ้งแน้นแค่การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละกระบวนการ คุณจำเป็นต้องคิดถึงภาพรวมของการปรับปรุงคุณค่าที่ลูกค้าได้รับจากผลิตภัณฑ์ ในเวลาเดียวกันนี้คุณยังต้องคิดหาวิธีลดต้นทุนให้ได้มากที่สุดควบคู่ไปด้วย

แต่พอเป็นเรื่องของระบบ Automation คิดแบบเร็ว ๆ ตามเซนส์เลยก็จะพบว่าการทำให้หลาย ๆ อย่างในโรงกลึงหรือโรงงานของคุณนั้นเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมดนั้นก็ต้องเสียเงินเพิ่มแน่นอน ซึ่งมันก็สวนทางกับหลักการผลิตแบบลีนที่เน้นเรื่องการลดต้นทุนเป็นหลัก แต่ต้นทุนที่ว่านี้มันไม่ได้มีแค่เรื่องของตัวเงินเท่านั้น และแนวทางของระบบอัตโนมัติแบบลีนนั้นไม่จำเป็นต้องทุ่มลงทุนที่อุปกรณ์เพียงอย่างเดียว

วัตถุประสงค์ของแนวคิด

คือเพื่อให้ธุรกิจของคุณเป็นแบบอัตโนมัติมีความเป็นไปได้สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีการใช้จ่ายน้อยกว่าองค์กรขนาดใหญ่ หากคุณต้องการใช้งานระบบอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องลงทุนมากจนเกินไป เริ่มต้นด้วยหลักการลีนนั้นถือว่าเป็นการสตาร์ทที่ดี ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวไปสู่ระบบอัตโนมัติแบบค่อยเป็นค่อยไปในโรงงานของคุณ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาดำเนินการในขณะที่คุณสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าที่เคยควบคู่ไปด้วย

LEAN
Image by Drazen Zigic on Freepik

ประโยชน์ในภาคการผลิต

เพิ่มความปลอดภัยของคนงาน

ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานควรมีความสำคัญสูงสุดอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไหน ยิ่งกับกระบวนการผลิตที่มีความอันตราย ระบบอัตโนมัติจะช่วยให้พนักงานของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการผลิตได้ เช่น ระบบจัดเก็บและเรียกค้นอัตโนมัติ ช่วยให้พนักงานไม่ต้องเสี่ยงอันตรายบนพื้นที่คลังสินค้าที่มักจะเกิดอุบัติเหตุเรื่องเกี่ยวกับรถยก นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังช่วยลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ในการหยิบหรือจัดเก็บผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย

ลดเวลาในการดำเนินการ

การใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อประโยชน์ในการดำเนินงานนั้นมีมากมาย ที่เห็นได้มากและตัวอย่างชัดเจนสุดเป็นการใช้สายพานแบบออโต้ โดยเจ้านี่จะส่งชิ้นส่วนไปยังพนักงานเพื่อทำการประกอบอีกที ซึ่งประหยัดเวลาในการต้องเดินไปมาระหว่างสเตชั่นต่าง ๆ และอำนวยความสะดวกต่อพนักงาน ทำให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สร้างประโยชน์ได้มากขึ้น

เพิ่มความแม่นยำ

การเลือกทำให้กระบวนการผลิตบางอย่างเป็นแบบอัตโนมัติ คุณจะสามารถผลิตปริมาณที่มากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยต้นทุนที่ต่ำลง อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรยึดติดกับการสร้างโมเดลเฉพาะสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงอย่างเดียว 

การผสมผสานแนวทางและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของการลดของเสียเพื่อประหยัดต้นทุนพร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แนวทางปฏิบัติแบบลีนนั้นสร้างประโยชน์ได้มาก และยังช่วยให้การดำเนินงานของคุณมีความผิดพลาดน้อยลง ไม่เสียเวลาในการทำงานซ้ำซ้อน

ลดต้นทุน

การลดต้นทุนเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับระบบอัตโนมัติแบบลีนและการผลิตแบบลีน ด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติอย่างชาญฉลาดนี้จะช่วยให้คุณลดค่ายใช้จ่ายลงได้ และวิธีหนึ่งในการลดต้นทุนโดยไม่ต้องเสียสละเวลาของพนักงานในการบำรุงรักษาเครื่องจักร คือการใช้หุ่นยนต์เพื่อทำงานร่วมกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ ซึ่งหุ่นยนต์จะช่วยอำนวยความสะดวกมนุษย์ได้เพื่อนำเวลาไปใช้กับการลงทุนที่จำเป็นมากกว่า และที่สำคัญยังสามารถรักษาระดับของคุณภาพที่ต้องการได้เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร

LEAN
Image by aleksandarlittlewolf on Freepik

วิธีการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ

เน้นที่กระบวนการ

ไม่ว่าจะรวมระบบอัตโนมัติหรือทำการเปลี่นแปลงอื่นใดกับการดำเนินงานของคุณ ให้คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรกเสมอ การผลิตแบบลีนมุ่งเน้นที่การนำคุณค่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดมาสู่ลูกค้า ดังนั้นให้มุ่นเน้นที่ระบบอัตโนมัติของคุณสำหรับการสร้างในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ

การตรวจสอบพนักงาน

บุคคลที่สร้างกระบวนการอัตโนมัติในโรงงานของคุณมีความสำคัญอย่างยิ่ง ระบุพนังงานที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่สามารถช่วยคุณได้ตลอดกระบวนอย่างชัดเจน ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจะรวมถึงคอนซัลต์ด้วย

มุ่งพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยี

เครื่องมือและเทคโนโลยีที่คุณใช้ควรทำงานได้ดีกับบุคลลากรของคุณ ระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ควรสนับสนุนงานของพนักงงานและสอดคล้องไปกับกระบวนการที่จำเป็น การใช้ระบบอัตโนมัติเป็นวิธีการปรับปรุงการดำเนินงาน การมีเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัยจะช่วยให้คุณได้ผลิตภาพมากขึ้นด้วยต้นทุนที่น้อยลง

LEAN
Image by usertrmk on Freepik

ปรับปรุงธุรกิจด้วยเทคโนโลยีทันสมัยพร้อมลดต้นทุนได้ด้วย Lean Automation…

ด้วยการใช้กลยุทธ์เหล่านี้เพื่อช่วยวางแผนการดำเนินงานของคุณในการเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติแบบลีน คุณสามารถทำให้การดำเนินงานของคุณมีค่าใช้จ่ายน้อยลงและใช้ประโยชน์จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ สิ่งแรก ๆ ที่ทำได้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตหากเป็นเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ เป็นการเลือกใช้ Robot as a Service (RaaS) 

แต่หากต้องการปรับปรุงเปลี่ยแนวคิดการวางระบบ หลักการระบบอัตโนมัติแบบลีน นั้นกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากตอนนี้ อย่างรายการ “ธุรกิจพิชิตล้าน” SHARK TANK THAILAND รายการแนวเรียลิตี้โชว์เชิงธุรกิจ ได้มีบริษัทอย่าง “ROBOCLOUD” ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับประเภทนี้ โดยการนำเสนอธุรกิจของบริษัทนี้โดนใจ SHARK ซึ่งเป็นนักธุรกิจชื่อดังในเมืองไทยถึงสองคน การันตีคุณภาพความไว้วางใจด้วยการกล้าเสนอเงินลงทุนหลักหลายสิบล้านเพื่อร่วมหุ้น เรียกว่าเป็นการมองเห็นถึงมูลค่าของหลักแนวคิดของธุรกิจประเภทนี้อย่างมากเลยทีเดียว

Cover Image : Image by tawatchai07 on Freepik

Credits :

อนาคตที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ เครื่องจักร CNC

เครื่องจักร CNC

สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้ เครื่องจักร CNC และได้ติดตามอัพเดตข่าวสารอยู่เสมอ น่าจะพอระแคะระคายมาบ้างแล้วว่าการใช้เครื่องจักรแบบเก่าอย่างเดียวกับอุตสาหกรรมนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

ด้วยอนาคตของการผลิตประเภทนี้นั้นมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น รวมถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดจนเรื่องของความต้องการด้านเวลาในการผลิต และแรงกดดันเรื่องต้นทุน ทั้งหมดล้วนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบรรลุความยืดหยุ่นในการผลิต ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ

โดยเราสรุปอนาคตที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักร CNC เป็น 5 ประเด็นสำคัญที่จะพูดถึงผ่านเนื้อหาด้านล่างได้ดังนี้

  • เปลี่ยนไปใช้การผลิตแบบ “High-Mix, Low-volume”
  • เน้นใช้งานเครื่องจักร CNC อเนกประสงค์เพื่อให้จบครบในเครื่องเดียว
  • เน้นระบบอัตโนมัติ CNC รวมถึงกระบวนการสนับสนุนต่าง ๆ 
  • ใช้งานซอฟต์แวร์วางแผนการผลิตและจัดการทรัพยากรเพื่อให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างเต็มที่
  • ดำเนินรอยตาม “Mega Trend” (แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ) ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมนี้ เน้นเรื่องของการสร้างฐานการผลิตใหม่ และความพร้อมใช้งานของแรงงานเป็นตัวกำหนด
เครื่องจักร CNC
Image by onlyyouqj on Freepik

ทบทวนอนาคตครบทั้ง 3 ภาคส่วนของอุตสาหกรรม CNC

ก่อนที่จะไปวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณเอง สามารถทบทวนลักษณะและแนวโน้มของการผลิต CNC ในอนาคตทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งหมด ผู้ผลิตรายบุคคล และพื้นที่ส่วนของโรงงาน ซึ่งแนวโน้มส่วนใหญ่มีผลกระทบในหลายระดับนอกเหนือจากที่กล่าวผ่านเนื้อหาทั้งสามสิ่งนี้

อุตสาหกรรมการผลิต

ความยั่งยืนมีความสำคัญพื้นฐานสำหรับอนาคตของโลกและมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ซึ่งความยั่งยืนในหลักสากลสามารถสรุปได้เป็นสามมุมมองที่สำคัญ หรือที่เรียกกันว่า “Triple-P” ประกอบด้วย ผู้คน (People), โลก (Planet) และความสามารถในการทำกำไร (Profitability) 

ภาคของอุตสาหกรรมการผลิตนั้นต้องการประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่สูงขึ้น การผลิตที่ตรงเวลามากขึ้น การปล่อยของเสียน้อยลง และนำเอารูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาใช้ เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยลดการปล่อย CO2 ซึ่งการพัฒนาสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีการนำระบบอัตโนมัติที่ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น แถมยังทำให้การผลิตมีความหมาย มีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

เครื่องจักร CNC
Image by kjpargeter on Freepik

คำกล่าวถึงการเพิ่มระดับของระบบอัตโนมัติที่บอกว่าเห็นได้ชัด สามารถพิสูจน์ได้ด้วยรายงานจาก IFR (International Federation of Robotics) ซึ่งมีข้อมูลแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของการติดตั้ง “แขนหุ่นยนต์” เฉลี่ยต่อปีประมาณ 6% และเพื่อให้มองภาพของการเติบโตนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีการเปิดเผยตามข้อมูล IRF เศรษฐศาสตร์ของอ็อกซ์ฟอร์ด ได้สรุปโดยสมมติว่าอัตราการใช้หุ่นยนต์นั้นเร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับพื้นฐานทั้งหมดอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่า 4.9 ล้านล้านยูโร หรือ 5.3% ของ GDP โลกในปี 2030!

เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบอัตโนมัติไม่ได้แพร่หลายเฉพาะในแง่ของอัตราการทำงานอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งนี้ครอบคลุมถึงการวางแผนการผลิต ซึ่ง IFR ได้ให้ความสำคัญและมองว่านี่เป็นหนึ่งใน Mega Trend ในอนาคตอันใกล้นี้ จากข้อมูลทั้งหมดสามารถนำมาปรับใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดกับโรงกลึงที่ต้องใช้เครื่องจักร CNC ของคุณได้

บริษัทผู้ผลิต

ข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้ผลิตทางอุตสาหกรรมและความโปร่งใสของการเชื่อมต่อระหว่างโรงงานที่มากขึ้น นำมาสู่การผลิตแบบ “High-Mix, Low-volume”

เครื่องจักร CNC
Image by liuzishan on Freepik
  • เพิ่มการปรับแต่งและตัวแปร : ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีความซับซ้อนมากขึ้นและปรับแต่งได้ตามความต้องการ แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของชิ้นงานในการผลิตก็สั้นลงและมีความไม่แน่นอนมากขึ้น เมื่อต้องรวมกับระยะเวลารอคอยสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการในการผลิตต้องผสมผสานประสิทธิภาพเข้ากับความยืดหยุ่นและมีความโปร่งใส
  • การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในตลาด : ความหมายของสิ่งนี้อาจหมายถึงความผันผวนของอุปสงค์โดยรวมหรือการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมที่ต้องการ “การปรับตัว” อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้ต้องการความยืดหยุ่นในการผลิต รอบการวางแผนที่สั้นลงอาจเกิดจากสาเหตุตามสัญญา หมายความว่าทั้งร้านขายเครื่องจักรหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะผลิตอะไรหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก
  • ข้อกำหนดด้านคุณภาพและการตรวจสอบย้อนกลับมีความต้องการมากขึ้น : ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ แต่ในอุตสาหกรรมการสร้างเครื่องจักรโดยทั่วไป ก็โดนความกดดันในเรื่องการลดต้นทุนอยู่เสมอ ทำให้ต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไรจากการผลิตและการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
  • โรงงานมีการเชื่อมต่อระหว่างกันมากขึ้น : เนื่องจากการผลิตมักจะเกิดขึ้นในเครือข่ายบางแห่ง ความโปร่งใสและการแบ่งปันข้อมูลจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น ในโลกของการผลิตที่มีการเชื่อมต่อกัน การเปิดใช้งานโดยซอฟต์แวร์เพื่อดำเนินการผลิต เราสามารถรู้ได้ทันทีเมื่อชิ้นส่วนที่จำเป็นในการผลิตมาถึง เรียกว่ารู้โดยไม่ต้องเสียเวลาสอบถาม สามารถเช็คหลาย ๆ กระบวนการได้จากซอฟต์แวร์

เครื่องจักร CNC และพื้นที่การผลิต

ปัจจุบันนี้ เครื่องจักร CNC อเนกประสงค์เป็นที่นิยมอย่างมาก สนับสนุนการรวบรวมข้อมูล และระบบกระบวนการ มีซอฟต์แวร์การวางแผนการผลิต ช่วยให้สามารถควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเน้นย้ำเรื่องของการ “จบงานในเครื่องเดียว” ส่งผลให้เครื่องจักรอเนกประสงค์กลายเป็นสิ่งฮอตฮิต การใช้งานสิ่งนี้หมายความว่ากระบวนการตัดเฉือนนั้นเสร็จสมบูรณ์ได้โดยใช้การจับยึดที่น้อยลง และมักจะอยู่ในเครื่องเดียวกัน เช่น เครื่องกลึง เครื่องกัด ที่มี 4 หรือ 5 แกน สามารถตอบสนองความต้องการในการออกแบบชิ้นงานมากขึ้น และตัดสินใจเลือกวิธีการผลิตที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำกว่าที่เคย

เครื่องจักร CNC
Image by usertrmk on Freepik

การรวมหลาย ๆ อุปกรณ์เพิ่มเติมในเครื่องเดียวที่สนับสนุน CNC Machining เช่น การล้าง การวัด การทำเครื่องหมาย การตกแต่ง และอื่น ๆ ได้ถูกรวบรวมเข้ากับระบบอัตโนมัติเพื่อผลผลิตและกำลังผลิตที่สูงขึ้น มีกระบวนการที่มีเสถียรภาพมากขึ้น จัดการสิ่งที่ซับซ้อน ทั้งหมดนี้สั่งการได้ด้วยซอฟต์แวร์ 

ความท้ายทายในการวางแผนการผลิตและการจัดการทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของข้อมูล การทำงานร่วมกันระหว่างคน ซอฟต์แวร์ และเครื่องจักร จำเป็นต้องมีตัวเชื่อมที่มีประสิทธิภาพ สำหรับบทบาทดังกล่าวก่อนหน้านี้จะเป็น Excel แต่ปัจจุบันก็ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดีเท่ากับซอฟต์แวร์การวางแผนการผลิตเฉพาะทาง

ระบบอัตโนมัติ CNC อัจฉริยะ คืออนาคต?

ทุกความไม่แน่นอนในอนาคตสามารถจัดการได้ “ด้วยการวางแผน” การมีเครื่องมือที่ดี มีมายด์เซตต่อเรื่องนั้น ๆ ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องของอุตสาหกรรม CNC สิ่งที่เหมาะสมและจำเป็นคือ “ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ” โดยสิ่งนี้สามารถรวบรวมประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวทางกายภาพ เข้ากับกระบวนการการวางแผนการผลิต เกิดเป็นการผลิตแบบผสมผสาน มีความหยืดหยุ่น สั่งการได้จากทุกที่บนโลก เรียกว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ไปตลอดกาล 

สุดท้ายยังคงไว้ซึ่งหลักความยั่งยืนสากล “Triple-P” สมดุลสำคัญครบ ทั้ง โลก ผู้คน และผลกำไร…

Cover Image : Image by Freepik

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : FASTEMS

เทรนด์ “Robotics” ปี 2023 รู้ไว้.. ปรับใช้ ยกระดับธุรกิจคุณได้!

Robotics

เผลอแปปเดียวก็จะเปลี่ยนปีปฏิทินกันอีกแล้ว นี่ก็เข้าสู่หน้าหนาว แต่ก็เป็นหนาวแบบประเทศไทย ที่ต้องถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “นี่หน้าหนาวแล้วแน่นะวิ…” และเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด ธุรกิจใดก็ตามแต่ การเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น พัฒนาขึ้น ล้วนเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ จริง ๆ ต้องบอกว่าจำเป็นเลยล่ะหากคุณอยากจะยกระดับธุรกิจ เรื่องของ “เทรนด์” เป็นสิ่งที่ต้องเกาะติดอยู่เสมอ และขาดไมไ่ด้สำหรับชาวอุตสาหกรรมคือการอัพเดทความรู้เกี่ยวกับ AI หรือ Robotics

วันนี้โรงกลึงพีวัฒน์ขอแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับคาดการณ์ล่าสุดของแวดวงหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมไปแล้ว และด้วยความต้องการที่มากขึ้นของระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม (Industrial Automation) การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digitalization) ตลอดจนการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อการยึดโยงอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ให้กลายเป็นอีกหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญสู่การขับเคลื่อนธุรกิจแบบยั่งยืน ซึ่งก็เป็นแนวโน้มที่ได้ประเมินเอาไว้ก่อนหน้านี้ และการคาดการณ์ที่ว่านี้จะเป็นศึกษาเพื่อต่อยอด

#เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน

เกาะติดเทรนด์ Robotics วิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลสุดเดือด!

จากความต้องการดังกล่าว จึงเกิดเป็นการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อคาดการณ์เทรนด์ในปี 2023 ของวิทยาการหุ่นยนต์ โดยเป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 2,500,000 แห่งทั่วโลก ซึ่งได้คลอดออกมาเป็น 8 อันดับแรก ดังที่ทุกคนจะได้อ่านต่อไปด้านล่างนี้!

1. Mobile autonomous robots

หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (Mobile autonomous robots) เข้ามาแทนที่ในส่วนของการผลิต เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานที่มีความเสี่ยงต่อบุคลากร เช่น สารเคมีที่เป็นพิษ บริเวณที่มีพื้นที่จำกัด และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก 

การใช้หุ่นยนต์ที่มีเซนเซอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และคอมพิวเตอร์วิชั่น ในการทำความเข้าใจาสภาพแวดล้อมได้ทันทีและทำงานได้ด้วยตัวเอง หรือจะเป็นเรื่องการตรวจสอบสต็อคและการจัดการวัสดุแบบอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น AMR ของคลังสินค้า ที่ใช้เป็นเครื่องสแกน ป้องกันเรื่องของขาดสต็อค แถมยังเพิ่มความเร็วในกระบวนการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในส่วนอื่น ๆ ของบุคลากรได้

2. Robots with Intelligence

หุ่นยนต์ที่มีความฉลาดสูง (Robots with Intelligence) นั้นมีความสามารถในการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และเพิ่มประสิทธิภาพงานได้ด้วยการผสานเข้ากับ AI โดยชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่มาแบบเรียลไทม์นี้ส่งผลให้หุ่นยนต์นั้นมีความแม่นยำและทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นเรื่องการรับรู้สภาพแวดล้อมและแยกวัตถุก็จะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้การนำทางทำได้อย่างอิสระอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

Robotics
Image by usertrmk on Freepik

3. Cobots

เรื่องของ โคบอทส์ (Cobots) นั้นเราเคยนำเสนอเปรียบเทียบกับ Robots แบบเต็ม ๆ ไปแล้ว โดยสิ่งนี้จะตรงข้ามกับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม เป็นหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน มีเซ็นเซอร์และอัลกอริธึมล้ำสมัย รับประกันพฤติกรรมที่ปลอดภัยเมื่อใช้ร่วมกับมนุษย์ในกระบวนการประกอบแบบอัตโนมัติได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมชิ้นส่วนและการเจาะรูด้วยสกรู ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเครื่องมือปลายแขน (EOAT) กล่าวคือ หุ่นยนต์เหล่านี้ช่วยในเรื่องของการยกวัตถุอันตรายแทนมนุษย์ได้ เช่น โลหะหนัก โพลีเมอร์ และวัสดุอื่น ๆ ที่มีน้ำหนักมาก

4. Robotics as a Service

ชื่อนี่อาจจะคุ้นหูคุ้นตากันมากหน่อย เพราะเป็นเทรนด์ Robotics ที่ได้รับการจับตาและมีการพัฒนาต่อเนื่องจากปี 2022 ซึ่งเราก็เคยพูดถึงไปแล้ว โดยการพัฒนาและบำรุงรักษาหุ่นยนต์เป็นขั้นตอนที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แถมยังใช้เวลานานอีกต่างหาก ในข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้องค์กรจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กยังไม่สามารถเข้าถึงการใช้หุ่นยนต์ได้ ทำให้บริการนี้ยังคงน่าสนใจสำหรับผู้เป็นเจ้าของกิจการสำหรับสร้างรายได้ ส่วนผู้เช่าที่สนใจทดลองใช้บริการของหุ่นยนต์ก็ไม่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อเป็นเจ้าของนั่นเอง

#เรื่องที่เกี่ยวข้องกัน

5. Cyber Security Robotics

หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Robotics) เป็นวิทยาการที่มีเป้าหมายหลักสำหรับป้องกันการโจมทีทางโลกไซเบอร์ เนื่องจากการผสานรวมของ IoT และความต้องการการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การปกป้องโซลูชั่นหุ่นยนต์จากการเข้าถึงอย่างผิดกฏหมายก็เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยครอบคลุมเกือบทุกกระบวนการของอุตสาหกรรม ไมว่าจะเป็น การป้องกัน การผลิต การดูแล ตลอดจนสอดส่องพื้นที่ของโรงงานในการรักษาความปลอดภัย

Robotics
Image by upklyak on Freepik

6. Human-like robots

หุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ หรือ หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid) นั้นคาดการณ์ว่าจะถูกใช้งานมากขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ได้รับความนิยมต่อเนื่องจากโรคระบาดที่ผ่านมา เอาที่แบบถูกหยิบมาใช้ชัดเจนเลย เช่น การทำความสะอาดแบบไร้สัมผัส และการส่งมอบต่าง ๆ ในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังใช้ในการตรวจสอบโรงไฟฟ้า การบำรุงรักษา และการกู้คืนจากภัยพิบัติ ช่วยชีวิตบุคลากรจากสภาวะที่เป็นอันตราย โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ สามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตได้อีกด้วย

7. Automated Assisted Vehicles

ยานพาหนะยุคใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเป็นแม่แรงในกระบวนการขนส่ง โดยชื่อของสิ่งนี้เรียกว่า AGV เป็นยานพาหนะนำทางด้วยตนเอง สามารถใช้ได้ทั้งในคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานผลิต ซึ่งการเคลื่อนไหวของเจ้าสิ่งนี้จะถูกควบคุมโดยการผสมผสานระหว่างซอฟต์แวร์และระบบนำทางแบบเซ็นเซอร์ที่กำหนดเส้นทางเอาไว้ล่วงหน้านั่นเอง

8. Drones

ตอนนี้ตลาดของโดรนนั้นไปไกลมากแล้ว จากการพัฒนาด้วย Edge Computing, HPC และการเชื่อมต่อสำหรับการขนส่ง มีการปรับตามประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริง รวมถึงการเพิ่มลูกเล่นและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ความสามารถของโดรนนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้โดรนในการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืช พ่นยาฆ่าแมลง ณ สถานที่เฉพาะ ส่วนเรื่องของการติดตาม โดรนสามารถตดตามพืชผลได้แม่นยำ หรือจะเป็นการจับความเคลื่อนไหวของสัตว์เลี้ยงก็ทำได้เช่นกัน

Robotics
Image by rawpixel.com on Freepik

สัมผัสประสบการณ์โลกยุคใหม่ เลือกใช้ให้ตรงกับธุรกิจ

เรื่องของ Internet of Things (IoT) ที่ตอนนี้นั้นแพร่หลายอย่างมาก เรียกว่าเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญให้วิทยาการหุ่นยนต์รุดหน้าอย่างรวดเร็ว โดยผู้ที่มีความสามารถทางธุรกิจรวมถึงผู้ที่ต้องการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทุกแขนงสู่โลกยุคใหม่ หากเลือกใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมจะได้รับประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ จากความเป็นอิสระและคุณภาพชีวิตในแง่ส่วนตัว 

ส่วนแง่ธุรกิจก็อย่างที่หลายคนทราบกัน ซึ่งคุณเองก็สามารถประเมินถึงอานุภาพของหุ่นยนต์ได้ผ่านเนื้อหาที่เรานำมาแบ่งปันกันในวันนี้ 

หากคุณอยากก้าวให้ทันหรือเร็วกว่าคนอื่น บอกเลยว่านี่เป็นเที่ยวบินสู่เส้นทางยุคใหม่ของอุตสาหกรรมที่เราไม่อยากให้คุณพลาดตกไฟลท์ที่สุดแล้ว!

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลเนื้อหาดี ๆ จากบทความเหล่านี้ :

https://emag.directindustry.com/2022/11/02/automation-trends-artificial-intelligence-cobots-agv-mobile-robots-predictive-maintenance/

https://www.automate.org/webinars/2023-industrial-automation-trends

https://www.automation.com/en-us/articles/august-2022/top-10-intelligent-automation-trends-look-2023

https://www.analyticsinsight.net/top-10-robotics-trends-and-predictions-to-lookout-for-in-2023/

Cover Image : Image by fullvector on Freepik

ส่องเทรนด์สำหรับผู้ผลิต เครื่องจักร CNC ปี 2023

เครื่องจักร CNC

ใกล้เวลาสิ้นปีแบบนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งการเตรียมพร้อมสำหรับก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ในส่วนของการทำงานหรือการปรับเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาก็ดี ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ก็ดี แต่ก่อนที่เราจะวางแผนเพื่อดำเนินไปยังเป้าหมายใหม่ ๆ ในปีหน้า สิ่งที่ต้องรู้เอาไว้นั้นคือเรื่องของ “เทรนด์” หรือแนวโน้มของสิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องการจะโฟกัส และแน่นอนว่าวงการ เครื่องจักร CNC หรือ CNC Machining นี้ก็เช่นกัน

CNC Machining เทคโนโลยี นับแต่ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในคีย์แมนในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงตลาดของพวกเขาเองที่แต่ละปีจะมีการสร้างมาตรฐานในวิศวกรรมเครื่องกลเพื่อใช้ตรวจสอบปรับปรุงกระบวนการทั้งหลาย ด้วยขนาดตลาดมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และต่อไปนี้คือแนวโน้มที่บรรดาผู้สร้างนั้นพร้อมนำเสนอนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นต่อผู้ใช้งาน

เครื่องจักร CNC
Image by aleksandarlittlewolf on Freepik

เพิ่มประสิทธิภาพ เครื่องจักร CNC “การผลิตแบบไฮบริด” (Hybridization of CNC-Manufacturing with additive Technologies)

ความคลาดเคลื่อนน้อยกว่า 0.01 มม. คือตัวเลขที่เครื่องจักร CNC นั้นทำได้ ซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่ามันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูง ส่วนความแม่นยำของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ นั้นอยู่ที่ 0.1 มม. โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้สำหรับการขึ้นแบบพิมพ์เสียมากกว่า สุดท้ายค่อยจบงานด้วยเครื่องจักร CNC แบบต่าง ๆ

การผลิตแบบไฮบริดที่ว่านี้นั้นรวมทุกอย่างที่ เครื่องจักร CNC นั้นทำได้ นั่นก็หมายความว่าทั้งการกัดและการกลึงก็ทำได้ด้วยเทคนิคการเติมแต่งด้วยแบบพิมพ์ 3 มิติ อยู่ที่แต่ละธุรกิจนั้นจำเป็นต้องหาจุดลงตัวว่าต้องทำอย่างไรสำหรับการจับคู่ของสองสิ่งนี้ให้ออกมาทรงอานุภาพต่อองค์กรมากที่สุด

เครื่องจักร CNC
Image by fabrikasimf on Freepik

จากรายงานนั้นบอกว่าผู้ผลิตเครื่องจักรหลายรายนั้นยอมรับ “การผลิตแบบไฮบริด” แม้ว่าการตัดเฉือนแบบ CNC กับ แบบพิมพ์ชิ้นงาน 3 มิติ จะมีกระบวนการที่แตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาพบว่าการผนวกทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบนั้นสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

ติดตามการเติบโตของ MaaS (Manufacturing as a Service) กับ เครื่องจักร CNC

MaaS (Manufacturing as a Service) นั้นเรียกได้ว่าเพิ่งจะเริ่มแง้มประตูเข้าสู่ตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องจักร CNC แต่จากคาดการณ์ของกูรูนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า MaaS จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มีความคล่องตัว และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยเรื่องของค่าแรงที่ลดลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ยกตัวอย่างเช่น InstaWerk บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติเยอรมนี ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชั่น Manufacturing as a Service แม้ว่าตัวบริษัทนั้นจะอยู่ในประเทศเยอรมัน แต่ก็สามารถให้บริการทั่วโลกได้เป็นอย่างดี นอกจากความเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตชิ้นส่วนด้วยเทคนิค CNC แล้ว เรื่องของการคำนวณต้นทุนส่วนประกอบแบบทันทีทันใดด้วย MaaS ทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากการผลิตตามความต้องการ ตอบโจทย์ของลูกค้าผ่านมาตรฐานระดับสูงของบริษัทได้อย่างรวดเร็ว

การผลิตตามความต้องการพร้อมเสนอราคาทันที (On-Demand Manufacturing)

จริง ๆ เทรนด์นี้เป็นการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจากวิกฤติโควิด และรุดหน้ายิ่งขึ้นไปอีกด้วยสงความยูเครน โดยกลยุทธ์ในการผลิตที่เรียกว่า “การผลิตตามความต้องการ” หรืออีกคำที่เป็นสากลหน่อยก็ “การผลิตแบบคลาวด์ (Cloud Manufacturing)” พูดง่าย ๆ คือวิธีการผลิตตามความต้องการและจำเป็นเท่านั้น

เครื่องจักร CNC
Image by onlyyouqj on Freepik

คาดการณ์ว่าประโยชน์หลัก ๆ ที่บริษัทนั้นมองถึงความถึงแกร่งของธุรกิจแบบออนดีมานด์ และสามารถคาดหวังจากการผลิตได้มีดังนี้

  • ช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตลดลง
  • เข้าถึงทรัพยากรทั่วโลกได้ง่ายกว่าเดิม
  • การดำเนินงานที่คล่องตัวเนื่องจากกระบวนการจัดซื้อนั้นมีความรวดเร็วมากขึ้นและความพร้อมของเครื่องจักรคุณภาพสูง ช่วยให้งานนั้นมีประสิทธิภาพสด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่หลากหลาย

หากเปรียบเทียบกับการผลิตแบบดั้งเดิม โรงงานต้องมีเครื่องจักร CNC ราคาสูง ต้องผลิตจำนวนทีละมาก ๆ และอาจต้องพึ่งพาพาร์ทเนอร์การผลิตในท้องถิ่น แต่การผลิตแบบออนดีมานด์นั้นช่วยลดการลงทุน มีการยืดหยุ่นสูง แถมยังเพิ่มความเร็วในการจัดซื้อได้อีกด้วย

การพัฒนาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งนี้ปกติก็เข้มงวดด้วยกฎระเบียบและข้อบังคับของรัฐบาลในแต่ละประเทศอยู่แล้ว แต่ผู้สันทันกรณีเห็นพ้องตรงกันว่าการพยายามครั้งใหม่ในปีที่จะถึงนี้ควรมีมาตรการที่จริงจังกว่าเดิมในเรื่องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากกระบวนการผลิตและซัพพลายเชนของคุณ

ยุคปัจจุบันมีลูกค้ามากมายที่นอกจากจะมีความต้องการสินค้าและการผลิตแล้ว ยังอยากได้บริการในลักษณะที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตด้วย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายและเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดกันต่อไปตลอดระยะเวลาที่เหลือว่าจะทำอย่างไรให้ความต้องการนี้นั้นดำเนินควบคู่ไปกับมาตรฐานของการผลิตภายใต้เทคโนโลยีเครื่องจักร CNC ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเจอปัญหาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนอยู่เสมอ

Image by Freepik

บริษัทผู้ผลิตจะต้องใช้ข้อมูลที่ได้จากซัพพลายเชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งนี้สูงสุด ต้องทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อประเมินว่ามีคาร์บอนหลงเหลือจากการผลิตของตัวเองมากน้อยแค่ไหน และยังสามารถติดตามได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ที่สำคัญหากมีการสำรวจวิธีใหม่ ๆ เพื่อรองรับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิตรวมถึงกระบวนการขนส่งสินค้า รับรองว่ามีหลายบริษที่พร้อมประเมินตรงจุดนี้การใช้บริการแน่นอน

จากทฤษฎีสู่ภาคปฏิบัติ นำนวัตกรรมผสมผสานสู่การทำงานจริง

เทรนด์ทั้งหมดที่ได้นำเสนอผ่านเนื้อหาในวันนี้ ไม่ใช่แค่ภารกิจของผู้ผลิตเครื่องจักร CNC เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงอุตสาหกรรมที่ข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ตลอดจนโรงงานทั้งหลายแหล่ การทำให้นวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้อย่างถูกกระบวนการ สร้างแนวโน้มและโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าพร้อม “รักษ์โลก” ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแบบผสม ความยั่งยืน หรือผลกระทบจากเครือข่ายระบบเศรษฐกิจแบบแพลตฟอร์ม นอกจากตามเทรนด์ และอัพเดตเทคโนโลยีใหม่ ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำและเริ่มต้นได้เลยตั้งแต่วันนี้!

Credit : ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://linchpinseo.com/industry-4-trends/

https://explodingtopics.com/blog/manufacturing-trends

https://explodingtopics.com/blog/manufacturing-trends

Cover Image : Image by bedneyimages on Freepik

ปลดล็อคสู่ความสำเร็จ การพัฒนาตนเองด้วยเทคนิค Time Boxing

การพัฒนาตนเอง

“เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด” เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยได้ยินคำนี้ และก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคน “มีเท่ากัน” หากจัดสรรให้ดีสิ่งนี้ก็จะยิ่งทำให้เราได้รู้ว่าเวลามีมูลค่ามากขนาดไหน ในแวดวงของธุรกิจนั้น ผู้บริหารมักให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก-ใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรม โรงกลึง แต่สำหรับในระดับบุคคลนั้นเราก็สามารถบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเราเองได้เช่นกัน ซึ่งหากทำได้ดี สิ่งนี้ก็จะเอฟเฟกต์ไปสู่สเกลที่ใหญ่กว่าอย่างองค์กรที่เราอยู่ รวมถึงการที่เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความเป็นมาของ Time Boxing

เทคนิคการพัฒนาตนเองอย่างนึงสำหรับการบริหารเวลา รู้จักกันในชื่อสากลว่า “Time Boxing” ซึ่งคนที่ทำให้รู้จักเป็นวงกว้าง คือ เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) นั่นเท่ากับว่าผู้คนได้เริ่มใช้หลักการนี้มาเป็นศตวรรษแล้ว แต่ก็มีอีกแหล่งนึงที่บอกว่าชื่อนี้ได้มาจากเรียงความของ ซีริล นอร์ธโคต พาร์คินสัน (Cyril Northcote Parkinson) ที่ตีพิมพ์บน The Economist เมื่อปี 1995 จนกระทั่งเร็ว ๆ นี้มีผู้คนมากมายนั้นเริ่มเห็นความสำคัญของเทคนิคนี้ โดยมองว่า “งานทุกอย่างสามารถขยายไปจนเต็มเวลาได้จนกว่าจะเสร็จ” ซึ่งมันน่าจะโอเคกว่านี้หากมีการจำกัดเวลาที่เหมาะสมของแต่ละงานอย่างพอดี

การพัฒนาตนเอง

ประโยชน์ของการบริหารเวลา

เป็นเทคนิคพื้นฐานที่คนประสบความสำเร็จนั้นเลือกใช้กัน อย่างที่กล่าวอยู่เสมอว่าหากมีการจัดสรรกรอบเวลาเฉพาะให้แต่ละงานและเน้นเฉพาะงานนั้นในช่วงเวลาที่กำหนด นอกจะแบ่งส่วนที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้แล้ว เราอาจจะได้งานที่ทรงประสิทธิภาพจากการโฟกัสอีกด้วย

  • ช่วยให้คุณวางแผนระหว่างวันได้อย่างรอบคอบ การที่หลายคนละเลยการวางแผนงานในแต่ละวันอย่างเหมาะสม อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
  • ช่วยให้คุณแน่ใจได้ว่ากำลังใช้เวลากับการทำงานอย่างมีประสิทธิผล และมุ่งเน้นจัดสรรให้กับงานที่สำคัญที่สุดของคุณในแต่ละวันอย่างเป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน
  • ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการกำหนดนเส้นตายที่เข้มงวดในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังทำให้คุณไม่ใช้เวลากับงานไหนมากเกินความจำเป็น
  • ช่วยให้คุณมีสมาธิกับแต่ละงานได้มากกว่าเดิม จดจ่อได้มากกว่าเดิม ยิ่งหากคุณเข้มงวดกับกระบวนการนี้ จะทำให้คุณทำงานเสร็จอย่างแน่นอนในแต่ละเซสชั่น
  • ช่วยให้คุณประเมินระยะเวลาของสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เรียกว่านี่น่าจะเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมในการเมินแล้วว่างานแต่ละงานนั้นใช้เวลาแค่ไหน 
  • การมีกรอบของเวลากำหนดเอาไว้ บังคับให้ตัวเองต้องหยุดเมื่อหมดเวลา นอกจากจะอธิบายว่าแต่ละงานนั้นกินเวลาเท่าใดถึงเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้คุณแพลนชีวิตแต่ละวันล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนาตนเอง

7 สเตป เทคนิคบริหารเวลาเบื้องต้น

  1. ตรวจสอบงานของคุณ : เริ่มจากทำรายการ “สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ” ออกมาก่อน จะใช้ทำเป็นแบบรายสัปดาห์ หรือรายเดือนก็แล้วแต่ เรียงลำดับความสำคัญแล้วค่อยวางแผนจัดทำรายการตามกรอบเวลาในแพลนของคุณ
  2. เลือกโฟกัสทีละงาน : เมื่อมีกรอบเวลาแน่ชัดแล้วให้เลือกทำไปทีละงานแบบเต็มที่ 100% โดยส่วนใหญ่แล้วจะเลือกงานที่สำคัญสุดในรายการก่อน
  3. กำหนดเป้าหมายชัดเจน : ระบุวัตถุประสงค์ของงานและกำหนดด้วยว่าคุณจะทราบได้อย่างไรเมื่อเสร็จสิ้น พยายามทำรายการสิ่งที่ต้องให้เสร็จสิ้นตามเป้าให้ได้
  4. จัดสรรเวลา / จำกัดเวลา : สิ่งที่คุณต้องท่องเอาไว้เลย “เวลาทำงานจะขยายตามกรอบเวลาที่มี” ดังนั้น คุณต้องกำหนดเวลาอย่างเข้มงวดสำหรับแต่ละรายการ พยายามทำให้สั้นลงที่สุด แต่ก็ต้องสมเหตุสมผลด้วย
  5. ทำซ้ำขั้นตอนที่ 2-4 : ในทุก ๆ งานใช้สเตป 1-4 ในการจัดสรร แล้วแบ่งไปในแต่ละวันให้ครบตามเป้าหมายสุดท้ายที่คุณได้แพลนเอาไว้ทั้งหมด 
  6. ดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด : ทำทุกสิ่งตามแพลนที่กำหนดให้ได้แบบ 100 เปอร์เซนต์ เสร็จเร็วกว่ากำหนดได้แต่ไม่ควรช้ากว่า เพราะจะกระทบทุกรายการที่เหลือเป็นทอด ๆ
  7. ตั้งเวลาชัดเจน และ จัดการสิ่งรบกวน : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้จัดสรรอย่างดี และมีการตั้งเวลาอย่างชัดเจนในแต่ละงาน ที่สำคัญเลยคุณจำเป็นต้องจัดการสิ่งรบกวนที่อาจทำให้ถูกขัดจังหวะระหว่างงานอย่างจริงจังด้วย

เมื่อทำครบตามสเตปนี้ เพื่อให้แนวทางการพัฒนาตนเองได้ผลสัมฤทธิ์อย่างชัดเจน คุณควรประเมินผลลัพธ์หลังสำเร็จภารกิจด้วย โดยให้ประเมินตามความเป็นจริงที่สุด เพื่อที่จะได้ปรับปรุงการประมาณเวลาในอนาคตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขึ้นเรื่อย ๆ

การพัฒนาตนเอง

ทำไมเราถึงควรใช้เทคนิคบริหารเวลา ?

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มคิดตามว่า เทคนิคการพัฒนาตนเองนี้เหมาะกับเรามั้ย ต้องเป็นคนประเภทไหน ระดับไหน ถึงใช้เทคนิคนี้ได้ ถ้ากำลังกังวลอยู่ เลิกคิดได้เลย ! เพราะสิ่งนี้มันแทบจะเป็นหลักการอันเป็นประโยชน์แบบสากลที่ใช้ได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างบุคคล 2 ประเภทที่ “จำเป็น” และส่วนใหญ่ก็ใช้กันอยู่แล้ว คือ บรรดาโปรเจกต์เมเนเจอร์ กับ ผู้นำองค์กรทั้งหลาย อย่างที่ได้เกริ่นไว้ในตอนต้นนั่นแหละ

เอลอน มัสค์ (Elon Musk) กล่าวไว้ว่า “หากคุณให้เวลาตัวเอง 30 วันในการทำความสะอาดบ้าน มันก็จะใช้เวลา 30 วัน แต่ถ้าคุณให้เวลาตัวเอง 3 ชั่วโมง มันก็จะใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น” นี่คือประโยคทองของหัวเรือใหญ่เทสลาและโครงการสุดล้ำอีกมากมายที่ถูกนำมารีรันบ่อยที่สุด และน่าจะสื่อถึงความสำคัญของสิ่งนี้ได้ภายในโควทเดียว… 

แถมในตอนท้าย ! หากใครสนใจ หลักสูตร การพัฒนาตนเอง การบริหารเวลา ค้นหาคอร์สอบรมได้เพิ่มเติมได้ที่ aobrom.com

เทรนด์ “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ประจำปี 2022 ตัวช่วยยกระดับธุรกิจแห่งโลกอนาคต

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

เหมือนเคยพูดถึงเรื่องหุ่นยนต์มาบ้างแล้ว แต่สิ่งที่จะนำมาเสนอวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์ “ล่าสุด” ของอุตสาหกรรมนี้ ต้นสายปลายเหตุมาจากความว้าวจากรายงานที่ว่า “หุ่นยนต์อุตสาหกรรม” ทำสถิติใหม่ประมาณ 3 ล้านหน่วยทั่วโลก เป็นการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 13% ในแต่ละปี นับตั้งแต่ ค.ศ. 2015-2020

จากตัวเลขดังกล่าว สหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติได้วิเคราะห์แนวโน้ม ที่ทำให้อุตสาหกรรมประเภทนี้รวมถึงระบบอัตโนมัติทั่วโลก ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ เอาไว้อย่างน่าสนใจโดย ประธานสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ มิลตัน เกอร์รี่ ได้พูดถึงเรื่องนี้สั้น ๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทั้งอุตสาหกรรมดั้งเดิม หรือแบบใหม่ เป็นเพราะหลายบริษัทนั้นเริ่มตระหนักถึงข้อดีมากมายที่หุ่นยนต์นั้นพร้อมมอบให้กับธุรกิจของพวกเขา ซึ่งก็เป็นเนื้อหาที่พวกเราจะได้ติดตามไปพร้อมกันในวันนี้…

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

มีอุตสาหกรรมใหม่ “เลือกใช้” หุ่นยนต์มากขึ้น

จะเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวงการอีคอมเมิร์ซเลยก็ได้… จากสถิติในปี 2022 มีหุ่นยนต์หลายพันตัวถูกติดตั้งใหม่ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่ไม่อยู่ในการเก็บสถิติเมื่อห้าปีก่อน

ในความพยายามที่จะแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน บริษัทเคยมองข้ามการใช้ระบบอัตโนมัติ เห็นได้ชัดจากรายงานข้างต้นว่าสิ่งนี้ได้ถูกนำมาพิจารณามาและใช้งานบ้างแล้ว โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ต้องพึ่งพาพนักงานบริการ เช่น ร้านค้าปลีกและร้านอาหาร ที่บางครั้งไม่สามารถตอบสนองตำแหน่งหรือกระบวนการที่ขาดหายไปได้แบบทันที การเลือกลงทุนในระบบอัตโนมัติจึงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่เราคาดหวังจากกลุ่มนี้

การขนส่ง การก่อสร้าง การเกษตร และอีกมากมาย จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน แม้จะเป็นส่วนงานที่ค่อนข้างใหม่กับระบบอัตโนมัติ แต่ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ผลักดันบริษัทต่าง ๆ ให้ตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลรวมถึงการส่งมอบ เป็นสิ่งที่ธุรกิจนี้ต้องปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้

หุ่นยนต์ถูกปรับให้ใช้งาน “ง่ายขึ้น”

ก่อนหน้านี้การนำหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมาใช้อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ตอนนี้หุ่นยนต์รุ่นใหม่นั้นใช้งานง่ายกว่ามากแนวโน้มที่ชัดเจนในส่วนของการเชื่อมต่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งโปรแกรมที่ขับเคลื่อนด้วยไอคอนต่าง ๆ ผ่านหน้าจออินเทอร์เฟซได้อย่างง่ายดาย และยังมีคำแนะนำแบบละเอียดผ่านคู่มือการใช้หุ่นยนต์ ทั้งหมดผ่านการังสรรค์โดยบริษัทหุ่นยนต์และซัพพลายเออร์ที่เข้ามาเป็น “Third Party” รวมรวบข้อมูลออกแบบแพ็คเกจฮาร์ดแวร์ร่วมกับซอฟต์แวร์เพื่อทำออกมาให้เข้าใจและง่ายที่สุดต่อการใช้งาน

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยการมุ่งเน้นไปที่ระบบนิเวศอันสมบูรณ์ กำลังเพิ่มมูลค่ามหาศาล แถมยังช่วยร่นระยะเวลาดำเนินการ นอกจากนี้ แนวโน้มสำหรับวิทยาการหุ่นยนต์แบบโลว์คอสต์ ยังมาพร้อมการติดตั้งที่ง่ายดาย

โดยบางแอปลิเคชั่นสามารถกำหนดค่าล่วงหน้าเอาไว้ได้เลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ซัพพลายเออร์เข้ามาช่วยเสนอโปรแกรมมาตรฐานผ่านแอปสโตร์ เพื่อใช้ร่วมกับอุปกรณ์จับยึด เซนเซอร์ และตัวควบคุม ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนกันและกัน ทำให้การใช้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมมีต้นทุนในราคาที่เบาบางกว่าเดิม

ในส่วนของเทคโนโลยีโรบอทหรือเอไอต่าง ๆ โรงกลึงพี-วัฒน์เองก็สนใจเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นสำหรับควบคุมการทำงานของโรบอทหรือเอไอเหล่านี้เป็นอย่างมาก สำหรับใช้ประโยชน์ช่วยสนับสนุนและแบ่งเบาภาระให้กับวิศวกรผู้ควบคุมการทำงานในโรงกลึง และเพื่อที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะได้เอาเวลาไปพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ หรือตัดสินใจแก้ปัญหาที่สำคัญ ๆ แทนการทำงานโอเปอเรชั่นหน้างาน

หุ่นยนต์ช่วยมนุษย์ “เพิ่มทักษะ” ได้มากกว่าที่คิด

ด้วยเส้นทางของสายการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลโดยเน้นไปที่การศึกษาและการฝึกอบรม ทำให้รัฐบาล สมาคมอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทต่าง ๆ จำนวนมากเล็งเห็นความจำเป็นของการศึกษาเกี่ยวกับหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติขั้นพื้นฐานในระยะเริ่มต้นสำหรับคนรุ่นใหม่นอกเหนือจากการฝึกอบรมพนักงานภายในแล้ว เส้นทางการศึกษาภายนอกยังสามารถปรับปรุงโปรแกรมการเรียนรู้ของพนักงานได้อีกด้วย ยกตัวอย่างผู้ผลิตหุ่นยนต์ เช่น ABB, FANUC, KUKA และ YASKAWA นั้นรวมกันแล้วมีคนลงทะเบียนเข้าร่วมคลาสหุ่นยนต์อุตสาหกรรมระหว่าง 10,000 – 30,000 คนในกว่า 30 ประเทศทุกปี

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

หากดูแนวโน้มจากการเกิด “Great Resignation” อาจดูเป็นสิ่งที่น่ากังวล แต่บางแง่มุมกลับกลายเป็นว่าวิทยาการหุ่นยนต์กำลังช่วยยกระดับโปรไฟล์ของพนักงานโรงงานให้ดียิ่งขึ้น อาจรวมถึงความต้องการของผู้คนที่อยากทำงานในสภาพแวดล้อมสมัยใหม่ที่พวกเขาสามารถสร้างอาชีพเองได้

ทั้งนี้ โอกาสในการฝึกอบรมทักษะเกี่ยวกับวิทยาการหุ่นยนต์ ยังเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายสำหรับทั้ง “บริษัท” และ “พนักงาน” ต่อจากนี้ งานทำซ้ำอันแสนน่าเบื่อ งานที่ก่อให้เกิดความสกปรก และงานที่เสี่ยงอันตราย สามารถถูกแทนที่ได้ด้วยระบบอัตโนมัติหรือ “หุ่นยนต์” ส่วนของ “ผู้คน” นั้นก็จะเปลี่ยนไปเรียนรู้ทักษะที่สำคัญต่อธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตแทน เป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำงาน เพิ่มทักษะ เพิ่มมูลค่า และสร้างรายได้ตลอดอาชีพของพวกเขา

ตอบโจทยธุรกิจ “โลกอนาคต” ได้ด้วยหุ่นยนต์

คาดการณ์ของข้อมูลนี้มองว่า ปี 2022 และปีต่อ ๆ ไป ข้อมูลเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการผลิตในอนาคต ข้อมูลที่รวบรวมจากกระบวนการอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด จะถูกวิเคราะห์โดยผู้ผลิตเพี่อทำการตัดสินใจด้วยสถิติมากขึ้น ด้วยความสามารถของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่มีการแบ่งปันงานและเรียนรู้ผ่าน AI

บริษัทต่าง ๆ ยังสามารถปรับใช้ระบบอัตโนมัติอัจฉริยะได้ง่ายขึ้นในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ตั้งแต่การก่อสร้างไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงห้องปฏิบัติการด้านการดูแลสุขภาพอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าและ “โควิด-19” มีการผลักดันให้ภาคการผลิตกลับมาใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น มีสถิติที่เปิดเผยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก สหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าระบบอัตโนมัติกลับมาทำธุรกิจได้อย่างไร

หุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ข้อมูลของ Association for Advancing Automation (A3) คำสั่งซื้อหุ่นยนต์ในสหรัฐฯ ผ่านไตรมาสที่สามของปี 2021 เพิ่มขึ้นถึง 35%

การเติบโตของสถิติดังกล่าว ไม่ได้เป็นเรื่องของหุ่นยนต์เท่านั้น ระบบการมองเห็นของเครื่องจักร การคุมการเคลื่อนไหว และมอเตอร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลายบริษัทมีแนวโน้มว่าจะลงทุนในระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น และมากที่สุดคือ “อุตสาหกรรมยานยนต์”  ซึ่งย้อนไปในช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปี 2020 มีคำสั่งซื้อมากกว่าครึ่งที่มาจากอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเภทนี้

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ผ่านช่วงนำร่องมาแล้ว ซึ่งตอนนี้ AI สำหรับหุ่นยนต์กำลังเติบโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และการเรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องก็อยู่ในกระแสหลัก เชื่อได้เลยว่าปี 2022 และปีต่อ ๆ ไป การคาดการณ์ที่จะเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกนำไปใช้มากขึ้นในวงกว้างจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 

ขอบคุณข้อมูลจากบทความต้นฉบับจาก https://ifr.org/ifr-press-releases/news/top-5-robot-trends-2022

การมาของ “รถยนต์ไฟฟ้า” ส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมยานยนต์แบบเก่า?

รถยนต์ไฟฟ้า

ไม่ได้พูดถึงเรื่องของยานยนต์เสียนาน แต่พอได้เห็นกระแสของ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่กำลังมาแรงในบ้านเรา หลังเจ้า Ora Good Cat เปิดตัว ไม่ว่าจะด้วยความน่ารัก สเป็คที่ชวนให้จับจองเป็นเจ้าของ หรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบเก่าที่ซดน้ำมัน (ICE) จะถูกแทนที่มากน้อยแค่ไหนกันนะ…

ด้วยความใคร่รู้ดังกล่าว ทำให้เราไปเจอบทความหนึ่งที่พูดถึงการเข้ามา “ปฏิวัติ” ของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะมีส่วนเข้ามากำหนดสเป็คสำหรับ OEM (Original Equipment Manufacturer) และบรรดาซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมาก เว็บไซต์โรงกลึงพีวัฒน์ตื่นตัวกับอุตสาหรกรรมด้านนี้ และเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก เลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟังผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้

รถยนต์ไฟฟ้า

เทสล่า & BYD ทัพหน้าพายานยนต์สู่ยุคใหม่?

เริ่มต้นจากการบุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ เทสล่า และ BYD รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ส่งผลให้คำว่า “ล้าสมัย” มาเยือนเทคโนโลยียานยนต์แบบเก่า (ICE) ไวยิ่งขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่ารถยนต์ส่วนบุคคลกว่า 50% ทั้งหมดจะกลายเป็นแบบไฟฟ้าภายในปี 2040 จึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์มากเท่าไหร่ที่ เทสล่า และ BYD ยังคงเป็นสองบริษัทที่ดูจะล้ำหน้าเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ประเภทนี้มากกว่าเจ้าอื่น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ หลายบริษัทก็ไม่ได้เพิกเฉยแต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริง ยุคนี้เป็นทศวรรษที่อุปกรณ์ต่าง ๆ เทคโนโลยี CNC สำหรับยานยนต์ เครื่อข่ายลอจิสติกส์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแขนงนี้ นั้นพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว พิสูจน์ได้จากความสามารถในการผลิตที่หลากหลาย ตลอดจนเรื่องของเงินทุนก้อนโตที่เกินกว่าจะเมินได้ แต่การจะเข้าร่วมวงแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบสองแบรนด์ดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา ทั้งเรื่องของการปรับแต่งเครื่องมือเพื่อเบี่ยงเส้นทางจากสาย ICE สู่ EV โดยภาคส่วนการผลิตยานยนต์ด้วยเครื่องมือ CNC นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แบบเต็ม ๆ

รถยนต์ไฟฟ้า

ความแตกต่างของการผลิตชิ้นส่วนระหว่างโรงงานแบบ ICE กับ EV

เครื่องยนต์แบบ ICE นั้นภายในมีความซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งเกิดจากความจำเป็นในการเปลี่ยนพลังงานเคมีให้เป็นข้อได้เปรียบทางกล พลังงานจากแรงเชิงเส้นเพื่อหมุนล้อผ่านเกียร์สร้างความซับซ้อนที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ไหนจะเรื่องชิ้นส่วนทั่วไปที่มักทำมาจากโลหะ นั่นแปลว่าต้องมีเรื่องของการกลึงเข้ามาเกี่ยวข้องในการผลิตอีก

ส่วนเครื่องยนต์แบบ EV จะมีความซับซ้อนที่น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในแง่ของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของรถยนต์ไฟฟ้า แบ่งส่วนประกอบหลักเป็น 3 ส่วน คือ มอเตอร์ไฟฟ้า ชุดแบตเตอรี่ และเกียร์

เรื่องของการทำงานนั้น พลังงานไฟฟ้าจะถูกดึงออกมาผ่านกระบวนการทางเคมีมาให้สู่มอเตอร์ แล้วมอเตอร์จะส่งกำลังไปยังล้อโดยใช้แค่เกียร์ขนาดเล็ก ซึ่งปกติเป็นเกียร์แบบความเร็วเดียว (เช่น รถของเทสล่า) นั่นหมายความว่าการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องใช้ CNC มีกระบวนการน้อยกว่าโรงงานแบบ ICE แน่นอน

รถยนต์ไฟฟ้า

ข้อกำหนดของ EV Machining

นี่เป็นสิ่งที่บรรดา OEM และซัพพลายเออร์ของแต่ละบริษัทจะต้องพัฒนาควบคู่กันในการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า โดยด้านล่างนี้เป็นข้อกำหนดบางส่วนที่เป็นข้อมูลสำหรับ EV Machining เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตามสองค่ายผู้นำในอุตสาหกรรมนี้

การผลิตแบตเตอรี่ การผลิตแบตเตอรี่จะเป็นคอขวดของการผลิต EV ในอนาคต โดยนี่เป็นการคาดการณ์ของ เทสล่า และกำลังวางแผนที่จะบรรเทาผลกระทบดังกล่าว โดยการสร้างศูนย์กลางผลิตแบตเตอรี่ที่เรียกว่า “Gigafactories” นี่เป็นสิ่งที่บริษัทรถยนต์จำเป็นต้องลุยเรื่องการผลิตแบตเตอรี่เอง เนื่องด้วยตลาดนั้นมีการแข่งขันสูงมากอยู่แล้วจากการนำ EV ไปทั่วโลกอย่างจำกัด

นอกจาก เทสล่า ทางด้านของ BYD เองได้ดำเนินการผลิตชุดแบตเตอรี่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นกระบวนการที่ต้องการความแม่นยำในการผลิตมากที่สุด และยังจำเป็นต้องมีเครื่อง CNC ระดับสูงอีกด้วย

การผลิตระบบส่งกำลัง นี่น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้ไวสุดเลยก็ว่าได้ เพราะระบบส่งกำลังสำหรับ EV มีความซับซ้อนน้อยกว่าระบบกำลังของ ICE ทั่วไปมาก ดังนั้น OEM และซัพพลายเออร์สามารถจัดการได้เป็นลำดับแรก ๆ โดยเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรกับกระบวนการที่มีอยู่แค่เล็กน้อยเท่านั้น

แผงตัวถัง เป็นอีกสิ่งนึงที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนักหากต้องการกระโจนสู่ตลาดยานยนต์ EV แผงตัวถังเหล่านี้สร้างขึ้นโดยการปั๊มหรือดึงแผ่นโลหะให้เป็นรูปทรงตามต้องการ โดยใช้แม่พิมพ์เพื่อสร้างรูปแบบที่ซับซ้อนของรถยนต์ กระบวนการนี้ถูกกลึงโดยใช้เครื่องจักรแบบ 5 แกน ซึ่งในการผลิต ICE นั้นใช้งานกันอยู่แล้ว

คุณภาพที่สูงขึ้น นอกจากความ “รักษ์โลก” แล้ว สิ่งที่ตลาดนี้นำเสนอมาตลอด คือ “ความเรียบง่าย” ซึ่งหมายถึงภาพรวมของทุกอย่าง ความสัมพัทธ์ของ EV และเซฟคอสต์เรื่องการบำรุงรักษา โฟกัสต่าง ๆ จะพาไปสู่การผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชิ้นส่วนที่กลึงมีอายุการใช้งานยาวนานตราบเท่าส่วนประกอบอื่นของรถยนต์ไฟฟ้า นี่เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นต้องผลิตด้วยเครื่องจักรชั้นสูง ต้องสามารถตอบสนองความแม่นยำและมีความสามารถในการทำซ้ำตามที่ผู้ผลิตแพลนไว้

น้ำหนักเบา เรื่องน้ำหนักเป็นจุดหลักที่ตลาด EV ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก ดังนั้นชิ้นส่วนต่าง ๆ จำเป็นต้องผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเป็นของ เทสล่า ที่เกือบจะใช้สเปคเดียวกันกับการบินและอวกาศกันเลย แต่มีการปรับใช้ ออแบบโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับยานยนต์

ขั้นตอนนีมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการผลิตมากกว่าชิ้นส่วนยานยนต์แบบดั้งเดิม เป็นผลมาจากรูปทรงอินทรีย์ที่ซับซ้อนจากอัลกอรธึมที่โปรแกรมเอาไว้

เสียงรบกวนต่ำ การออกแบบโดยคำนึงถึง “ความเงียบ” เป็นอีกจุดขายของ EV อยู่แล้ว และอาจมีเสียงรบกวนมากเกินความจำเป็นหากชิ้นส่วนมีการตัดเฉือนที่ไม่ตรงสเป็ค ส่วนการแก้ปัญหานั้นไม่ยากเลย แต่ต้องใช้ทุนหนักหน่อย เพราะจำเป็นต้องใช้เครื่องเจียรที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งก็มั่นใจได้เลยว่าจะบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้อย่างแน่นอน

รถยนต์ไฟฟ้า

ความต้องการของผู้บริโภคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง “การปรับตัว” เปลี่ยนไปใช้สายการผลิตที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมและมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นสำหรับ EV มีความสำคัญมาก จากแนวโน้มปัจจุบันในข้อมูลที่ได้รับมานี้ จำนวนชิ้นส่วนโลหะมีความต้องการลดลงอย่างมาก ส่วนความต้องการในชิ้นส่วนคุณภาพสูงสำหรับ EV กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง… OEM และซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์มีสิทธิ์สูญเสียกำลังการผลิตที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อธุรกิจเกินกว่าที่จะจินตนาการเลยก็ได้

ขอขอบคุณบทความต้นทางจาก https://kingsburyuk.com/how-will-the-electric-vehicle-revolution-change-machining-requirements-for-oems-and-suppliers-in-the-automotive-industry

NFT บน Supply Chain

NFT Supply Chain

กระแสมาแรงจริง ๆ สำหรับเรื่องของ “NFT” ในวันที่เทคโนโลยี Blockchains ได้พาบรรดาเหล่า Cryptocurrency ให้ได้รู้จักเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง แล้วก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ถูกพูดถึงตลอดจนความนิยม เรียกว่านี่อาจเป็นหนึ่งในการปฏิวัติวิธีที่เราประมวลผลข้อมูลออนไลน์และธุรกรรมการเงินเลยก็ว่าได้

สำหรับสิ่งนี้ บุคคลและธุรกิจต่าง ๆ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับ “Supply Chain” การปรับใช้เข้ากับ NFT ยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ รักษาทุกขั้นตอนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและเป็นปัจจุบันมากที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณต้องการสร้างความฮือฮาในอุตสาหกรรมทั่วโลกด้วยสิ่งนี้ การเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากวงการศิลปะสู่โลกธุรกิจให้ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้มากกว่าที่เคย ลองติดตามผ่านเนื้อหาด้านล่างนี้ดูว่า NFT จะเข้ามาปฏิวัติห่วงโซ่อุปทานได้อย่างไร…

NFT Supply Chain

NFT คืออะไร?

Non-Fungible Token เป็นชื่อเต็ม ๆ ของสิ่งนี้ หรือที่คุ้นหูคุ้นปากกันว่า NFT ซึ่งก็คือ Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่สามารถแสดงความครอบครองของสินทรัพย์ด้วยการเป็น “เจ้าของ” แต่ละเหรียญแต่ละแบบจะมีความแตกต่างทางด้านมูลค่า และที่สำคัญคือ Non-Fungible Token เหรียญอื่น ๆ ไม่สามารถนำมาทดแทนกันได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น สมมติเพื่อนคุณยืม เมคานิคอล คีย์บอร์ด สุดยูนีคของคุณไป ก็ต้องเอาคีย์บอร์ดตัวดังกล่าวมาคืนเท่านั้น! เพราะการปรับแต่งสรรค์สร้างของคีย์บอร์ดประเภทนี้มีความเฉพาะตัวสูง ไม่สามารถเอาคีย์บอร์ดแบบอื่นมาคืนได้ ต่อให้เป็นรุ่นเดียว ผลิตในปีเดียวกัน ใช้ส่วนประกอบอื่น ๆ เหมือนกันก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมันก็ “ไม่ใช่ตัวเดียวกัน”

ถ้ายังนึกภาพตามไม่ออกถึงความเฉพาะตัวของ NFT ลองคิดเปรียบเทียบกับ Bitcoin หรือเหรียญอื่น ๆ ที่เป็น Fungible Token ทั่วไป หากคุณถูกเพื่อนยืมไป 3 Bitcoin เวลาจะคืนเพื่อนคุณสามารถหา Bitcoin จากที่ไหนมาคืนก็ได้ เพราะมันเหมือนกันหมด อะไรแบบนี้

ดังนั้น การซื้อขายการถือครอง NFT จะไม่สามารถซื้อเป็นหน่วยย่อยเหมือน Cryptocurrency ประเภทอื่น ๆ ได้ ชัดเจนที่สุดสำหรับตัวอย่างนี้คงจะเป็นเรื่องการซื้อภาพวาดที่เราจำเป็นต้องซื้อภาพนั้นทั้งภาพ ไม่สามารถซื้อแบบยิบย่อยแต่ละส่วนได้นั่นเอง

ประโยชน์ของ NFT บนอุตสาหกรรม

การสร้างทรัพยากรที่หายากและไม่ซ้ำใคร ไม่สามารถทำซ้ำหรือทำลายได้ กลายเป็นปัจจัยหลักที่ NFT จะเข้ามายกระดับในทุก ๆ อุตสาหกรรม โดยรับประกันความถูกต้องของข้อมูลตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งหากองค์กรใดที่มีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์และยึดถือเรื่องโครงสร้างของทุก ๆ ผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ NFT ยังติดตามได้บนบล็อคเชน การมีข้อมูลเกี่ยวกับประวัติที่ไม่เปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ ทำให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้อง ตลอดจนที่มาของสินทรัพย์นั้น ๆ และไม่สามารถถูกทำลายได้ แถมยังไม่เสื่อมสภาพอีกต่างหาก ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็น่าจะพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าสิ่งนี้เป็นการลงทุนที่ดีสำหรับโลกยุคใหม่

NFT Supply Chain

NFT กับ Supply Chain

NFT Supply Chain แม้จะรับความนิยมและถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายจากเกม ของสะสมและงานศิลป์ ปัจจุบัน NFT ได้เริ่มถูกนำมาใช้กับอุตสาหรกรรมอื่น ๆ ด้วยการพัฒนาการล่าสุดจากที่มีการอัพเดตมา NFT ได้เข้าร่วมการปฏิวัติเทคโนโลยีบล็อคเชนในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการ Supply Chain โดยหน้าที่หลักของพวกเขาในซัพพลายเชน ตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าแต่ละรายการ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและแหล่งกำเนิดของสินค้าได้แบบ 100 เปอร์เซนต์ โดยเจ้าโทเค็นนี้ไม่เพียงแต่ตรวจสอบความถูกต้อง แต่ยังทำหน้าที่ในการขจัดของปลอม แถมยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปเช็คผลิตภัณฑ์ตลอดกระบวนการ รักษาแหล่งที่มา และรับรองความเป็นเอกลักษณ์ได้ดีเยี่ยม

การนำ NFT มาใช้กับอุตสาหกรรมนั้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงกลึงพีวัฒน์เองก็เฝ้าติดตามกรณีศึกษามาสักพักเพราะไม่อยากตกเทรนด์ ตัวอย่างที่น่าสนใจเป็นแบรนด์แฟชั่นสุดหรูอย่าง Luis Vuitton ได้เผยแผนงานเมื่อปี 2019 ที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มบล็อคเชนสำหรับใช้โทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าของพวกเขาซึ่งมีวัสดุพรีเมียมและราคาสูง โดยสิ่งนี้สามารถตรวจสอบคุณภาพ แหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ผ่านการติดตามวัสดุในซัพพลายเชนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นถึงเอกลักษณ์และคุณภาพ กล่าวได้ว่านี่จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรใดก็ตามที่มีผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์หรือชื่อเสียงที่ต้องรักษาไว้ การตรวจสอบผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีนี้จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าคุณใส่ใจในทุกขั้นตอนที่ทำ 

นอกจากนี้นี่ยังเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการรักษาการปฏิบัติตามกฏระเบียบและการทำงานอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามและรับรองความถูกต้องของเอกสาร คุณสามารถมั่นใจได้ว่าคุณกำลังส่งมอบพร้อมคำมั่นสัญญาในการรักษาตัวตนความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ทุกอย่างสามารถรับประกันได้หากเป็น NFT

NFT Supply Chain

ยกระดับด้วย NFT ดีอย่างไร?

ผลประโยชน์เดียวกันนี้ หากลองมองไปที่ธุรกิจที่อิงกับซัพพลายเชนอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมขนส่ง รถยนต์โดยเฉลี่ยมีชิ้นส่วนประมาณ 30,000 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตขึ้นเองหรือจัดหาจากผู้ให้บริการ Third Party หากเป็น NFT จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่เพิ่มขึ้นแก่คุณเกี่ยวกับวัสดุและส่วนประกอบแต่ละรายการที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ คุณสามารถเข้าถึงทุกวัสดุที่ใช้ตั้งแต่ที่ตั้งปัจจุบันไปจนถึงแหล่งกำเนิด นอกจากนี้ยังนำมาปรับใช้ในเรื่องข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและคำนวนต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเลือกใช้บล็อคเชนเข้ามายกระดับการจัดการซัพพลายเชนแล้ว หรือมีแผนที่จะเริ่มใช้ NFT เพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเพื่อความก้าวหน้าในองค์กรของคุณ จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันตอนนี้ คุณสามารถมั่นใจได้ระดับนึงเลยว่าการเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชนเป็นแบบดิจิทัล จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในเวลานี้ และจะทำให้องค์กรของคุณได้เปรียบในการแข่งขันนี้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการันตีความถูกต้องในทุกกระบวนการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…

ขอขอบคุณสาระดี ๆ จากบทความต้นทางมา ณ ที่นี้ : What are NFTs & What does it Mean for Supply Chains? (flexis.com)