พลังงานแสงอาทิตย์จีน โครงการโซลาร์ยักษ์ใหญ่เขย่าโลกพลังงานสะอาด

พลังงานแสงอาทิตย์

จีนถือเป็นประเทศผู้นำด้าน พลังงานแสงอาทิตย์ ของโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านเทคโนโลยี แผงโซลาร์ และโครงการโรงไฟฟ้าขนาดมหึมา ล่าสุด จีนได้เปิดตัว โครงการโซลาร์ขนาดยักษ์ในทะเลทรายโกบี ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งด้านพลังงานและเศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไรลองไปดูกันเลยทุกคน !

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

จุดเด่นของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในจีน

ขนาดมหึมา

ขนาดโครงการที่ใหญ่ที่สุดในโลก โครงการบางแห่งมีพื้นที่ติดตั้งแผงโซลาร์ครอบคลุมหลายร้อยตารางกิโลเมตร สามารถผลิตไฟฟ้าได้หลายกิกะวัตต์ต่อปี จีนได้สร้างโครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power Plant) ที่มีขนาดมหึมา เช่น ฟาร์มโซลาร์ในทะเลทรายโกบี และมองโกเลียใน ครอบคลุมพื้นที่หลายพันเฮกตาร์ การสร้างโครงการขนาดยักษ์นี้ช่วยให้จีนสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าหลายสิบกิกะวัตต์ต่อปี ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของโลก จุดเด่นนี้ไม่เพียงแค่สร้างความมั่นคงทางพลังงาน แต่ยังทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำใน อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

การใช้เทคโนโลยีโซลาร์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งระบบติดตามแสงอาทิตย์ (solar tracking) และการเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ จีนไม่ได้ใช้เพียงแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป แต่มีการนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง PERC Solar Cells, Bifacial Panels (แผงสองด้าน) และ Floating Solar Farm (โซลาร์ลอยน้ำ) เข้ามาใช้งาน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 10–20% พร้อมทั้งลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า จุดนี้ทำให้โครงการของจีนมีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน และเป็นตัวอย่างที่หลายประเทศกำลังศึกษาเพื่อนำไปต่อยอด

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น

ช่วยสร้างงานในภูมิภาคห่างไกล และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในจีน คือการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทและเมืองรองได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงการ Solar Farm ขนาดใหญ่ต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในช่วงก่อสร้างและการบำรุงรักษา ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น เพิ่มรายได้แก่ประชาชน และลดการอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่

นอกจากนี้ โครงการพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้ยังช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ร้านค้า, ที่พัก, โลจิสติกส์ และบริการเสริมที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิด “ระบบนิเวศเศรษฐกิจพลังงานสะอาด” ที่ชุมชนมีส่วนร่วมโดยตรง ต่อยอดไปถึงการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ จีนจึงไม่เพียงเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ยังใช้โครงการเหล่านี้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นแบบยั่งยืน อีกด้วย

ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศที่เคยเกิดขึ้นจากการใช้ถ่านหิน โครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) ของจีนมีบทบาทสำคัญในการลดการพึ่งพาถ่านหินและน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหามลพิษทางอากาศและก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในระดับเมกะโปรเจกต์ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายล้านตันต่อปี ถือเป็นก้าวใหญ่ของจีนในการบรรลุเป้าหมาย “Carbon Neutrality” ภายในปี 2060

นอกจากนี้ พื้นที่ติดตั้ง Solar Farm หลายแห่งยังถูกออกแบบให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น สร้างบนพื้นที่ทะเลทรายที่ไม่เหมาะกับการเกษตร หรือทำโครงการ “Solar + Agriculture” ที่ผสานการผลิตไฟฟ้ากับการทำเกษตรใต้แผงโซลาร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพื้นที่เพาะปลูก และยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

ในภาพรวม การลงทุนด้าน พลังงานแสงอาทิตย์ในจีน ไม่ได้เป็นเพียงการผลิตไฟฟ้าสะอาดเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ลดฝุ่นควันในเมืองใหญ่ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทั้งประเทศและโลก

จีนในฐานะผู้นำตลาดโลก

จีนไม่ได้เป็นเพียงผู้ติดตั้งแผงโซลาร์รายใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่ยังครองห่วงโซ่อุปทานพลังงานแสงอาทิตย์โลก ตั้งแต่การผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอน เซลล์แสงอาทิตย์ ไปจนถึงการส่งออกโมดูลไปทั่วโลก ทำให้ บริษัทจีนอย่าง LONGi, JA Solar และ Trina Solar กลายเป็นผู้เล่นหลักที่กำหนดทิศทางตลาดโลก

ต้นทุนพลังงานที่ถูกลงและดึงดูดการลงทุน

เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิต แผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ต้นทุนต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนสามารถแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้แล้ว จุดนี้ทำให้ไม่เพียงแต่รัฐบาลจีนสนับสนุน แต่ยังดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในจีนอย่างต่อเนื่อง

การเชื่อมโยงเข้ากับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)

จุดแข็งของจีนฐานะผู้นำตลาดโลกอีกข้อคือ การลงทุนใน Smart Grid และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่ทันสมัย เมื่อไฟฟ้าจากโซลาร์ถูกผลิตขึ้น จีนสามารถกระจายพลังงานไปยังเมืองใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้ช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้าในสายส่ง และทำให้พลังงานแสงอาทิตย์สามารถนำมาใช้ได้จริงในวงกว้างตลอดทั้งปี

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

โครงการโซลาร์ในจีนไม่เพียงแต่มีผลต่อการใช้พลังงานภายในประเทศ แต่ยังสร้างแรงกดดันให้นานาชาติเร่งปรับตัว เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานหมุนเวียน ลดลงอย่างต่อเนื่อง และกำลังกลายเป็นทางเลือกหลักในการลงทุน

ยกระดับจีนสู่ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนของโลก

โครงการโซลาร์เซลล์ขนาดมหึมาในจีนช่วยให้ประเทศนี้ครองตำแหน่ง ผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ทั้งด้านการผลิตไฟฟ้า การส่งออกเทคโนโลยี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จีนไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ตัวเอง แต่ยังกลายเป็นแหล่งเรียนรู้และต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ หันมาพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น

ผลักดันการวิจัยและนวัตกรรมโซลาร์เซลล์

เมื่อมีการลงทุนขนาดใหญ่ จีนสามารถทุ่มงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั้งด้านประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ การกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และระบบ Smart Grid สิ่งนี้ช่วยเร่งนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ต้นทุนการผลิต ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ลดลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในตลาดโลก

กระตุ้นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)

การสร้างโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาดยักษ์ในจีนทำให้เกิดการขยายตัวของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบซิลิคอน โรงงานแปรรูป การขนส่งอุปกรณ์ ไปจนถึงบริการติดตั้งและบำรุงรักษา สิ่งนี้สร้างผลบวกต่อ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อย่างครอบคลุม และยังช่วยให้บริษัทเอกชนจากหลายประเทศเข้ามาลงทุนร่วม

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

เร่งการแข่งขันในตลาดโลก

จีนได้สร้างแรงกดดันเชิงบวกให้กับประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป หรืออินเดีย ที่ต้องเร่งพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อแข่งขันด้านต้นทุน เทคโนโลยี และความสามารถในการผลิตไฟฟ้าสะอาดมากขึ้น นี่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์โลก เติบโตอย่างก้าวกระโดด

Key Takeaways

โครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ในจีน ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผนพลังงานทดแทน แต่ยังเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านพลังงานในระดับโลก จุดเด่นทั้งด้าน ขนาดโครงการ เทคโนโลยีที่ทันสมัย การลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ระบบ Smart Grid และต้นทุนที่แข่งขันได้ ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตพลังงานของโลก สร้างแรงกระเพื่อมระดับโลก ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์ถูกยกระดับเป็นหัวใจหลักของการเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) ซึ่งการลงทุนของจีนใน พลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความจริงจังในการสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน ทั้งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และการผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป จีนมีโอกาสกลายเป็นผู้นำด้าน การเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ที่โลกต้องจับตา

Credit Images : https://www.freepik.com

พลังงานไฮโดรเจน พลังงานแห่งอนาคต (จริง ๆ หรอ ?)

พลังงานไฮโดรเจน

หากพูดถึงพลังงานแห่งอนาคตเชื่อว่าต้องมีลิสต์ของ พลังงาน ไฮโดรเจน ติดอันดับอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเป็นอีกแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพและสามารถตอบโจทย์ด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดีอีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่นำไปสู่การสร้างมลพิษในอากาศได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากไฮโดรเจนสามารถสังเคราะห์ได้จากวัตถุดิบทางธรรมชาติหลายแหล่งด้วยกัน

พลังงานไฮโดรเจน
Image by freepik

ประโยชน์ของการเลือกใช้ พลังงานไฮโดรเจน

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า การเลือกใช้ ไฮโดรเจน มาเป็น พลังงานทดแทน เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทางด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมได้ดีอีกทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาวะโลกร้อนแล้วก็ยังมีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อีกหลายด้านด้วยกัน ดังนี้

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การใช้ไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงจะช่วยลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และ ก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ เพราะการผลิตไฮโดรเจนจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม สามารถเปลี่ยนให้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานที่สะอาดและรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

ประสิทธิภาพสูง

เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Fuel Cell) มีประสิทธิภาพที่สูงในการแปลงพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำให้สามารถนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังลดการสูญเสียพลังงานในกระบวนการผลิตและการใช้งานได้อีกด้วย

ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

การใช้ไฮโดรเจนมาเป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล สามารถช่วยลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดได้ อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากการขุดเจาะและการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและดินได้อีกด้วย

การผลิตคาร์บอนลดลง

ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนที่ไม่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอน เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนในการแยกน้ำด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งสามารถทำให้ได้ไฮโดรเจนที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การจัดเก็บและการขนส่ง

ไฮโดรเจนสามารถถูกจัดเก็บและขนส่งได้ง่ายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ก๊าซ ไฮโดรเจนเหลว หรือสารประกอบทางเคมีอื่น ๆ ซึ่งช่วยให้การใช้งานไฮโดรเจนสามารถทำได้สะดวกในหลากหลายรูปแบบตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่าง ๆ

สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด

การลงทุนและการวิจัยในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยี ไฮโดรเจน สามารถช่วยกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการผลิตและการใช้งานไฮโดรเจน , การพัฒนาเซลล์เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น รวมไปถึงการปรับปรุงกระบวนการผลิตไฮโดรเจนให้มีต้นทุนที่ต่ำลง เป็นต้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทำให้ พลังงานไฮโดรเจน ถือว่าเป็นพลังงานแห่งอนาคต ที่มีศักยภาพสูงอย่างมากในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ด้านการพัฒนาให้เป็นไปได้อย่างยั่งยืน

แหล่งไฮโดรเจน ที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานทางเลือก

การเลือกใช้ไฮโดรเจนมาเป็นพลังงานทางเลือก นั้นสามารถเลือกแหล่งที่นำมาสังเคราะห์จากวัตถุดิบทางธรรมชาติได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งในส่วนของแหล่งวัตถุดิบทางธรรมชาติที่จะนำมาสังเคราะห์นั้น มีแหล่งที่มาหลัก ๆ รวมไปถึงมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไปดังนี้

การแยกน้ำด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) 

ใช้พลังงานไฟฟ้าในการแยกน้ำ (H2O) ออกเป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) ซึ่งถ้าหากใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม กระบวนการนี้จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ได้ดีที่สุด

พลังงานไฮโดรเจน
Image by pvproductions on Freepik

การปฏิรูปก๊าซธรรมชาติ (Steam Methane Reforming – SMR)

กระบวนการนี้จะใช้ไอน้ำทำปฏิกิริยากับก๊าซมีเทน (CH4) จากแหล่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาผลิตไฮโดรเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการนี้ถือว่าเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ด้วย

การปฏิรูปชีวมวล (Biomass Reforming)

ใช้ชีวมวล เช่น เศษไม้ เศษพืช หรือขยะอินทรีย์ มาผ่านกระบวนการแยกไฮโดรเจน วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณขยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแต่ทั้งนี้กระบวนการผลิตก็ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนายังไม่สมบูรณ์

การใช้พลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Hydrogen Production)

ใช้พลังงานความร้อนจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในการผลิตไฮโดรเจนผ่านกระบวนการอิเล็กโทรลิซิสหรือกระบวนการเคมีความร้อน (Thermochemical Processes) วิธีนี้สามารถผลิตไฮโดรเจนได้ในปริมาณมากแต่มีข้อจำกัดในเรื่องของความปลอดภัยและการจัดการของเสียที่ได้จากนิวเคลียร์

การใช้พลังงานแสงอาทิตย์โดยตรง (Photoelectrochemical Water Splitting)

ใช้แสงอาทิตย์ในการแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจนผ่านกระบวนการทางเคมี ซึ่งวิธีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย แต่ถ้าหากประสบผลสำเร็จก็จะเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูงมากเลยทีเดียว

การใช้จุลินทรีย์และสาหร่าย (Biological Hydrogen Production)

ใช้จุลินทรีย์หรือสาหร่ายในการผลิตไฮโดรเจนผ่านกระบวนการทางชีวเคมี เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ส่งผลดีต่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สูงมาก แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม

มีเมื่อพร้อม.. หรือพร้อมเมื่อมี ?

แต่ละแหล่งพลังงานและวิธีการสังเคราะห์ต่าง ๆ ที่กล่าวไปนั้นล้วนมีศักยภาพรวมไปถึงความเหมาะสมที่ต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อม ทรัพยากรที่มีอยู่ และเทคโนโลยีที่ใช้ ซึ่งถ้าหากเลือกใช้แหล่งไฮโดรเจน ที่มีความเหมาะสมก็จะช่วยทำให้การผลิต พลังงานไฮโดรเจน เพื่อนำมาเป็นพลังงานทางเลือกทดแทนสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเลยทีเดียว

เห็นแบบนี้แล้ว.. ทำให้ โรงกลึง พีวัฒน์ของเรานอกจากจะกำลังติดตามกระแสนิยมและความเป็นไปได้ของการนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ขับเคลื่อนรถยนตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคการขนส่งแล้ว คราวนี้ยิ่งทำให้ตื่นเต้นไปใหญ่ หากโลกของเรามีพลังงานหลายรูปแบบให้เลือกใช้ทดแทนกันและกันได้ แน่นอนหากพังงานไฮโดรเจนนี้เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้ โรงกลึงของเราก็จะนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับงาน เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและระบบอุตสาหกรรม

Cover Image : Image by wirestock on Freepik

เทรนด์ “รักษ์โลก” ส่องความเคลื่อนไหวบริษัทยักษ์ใหญ่ริเริ่มอะไรกันแล้วบ้าง

รักษ์โลก

จากที่เราได้พูดคุยกันถึงเรื่อง “มลพิษทางอากาศ” เรื่อยจนมาถึง “พลังงานหมุนเวียน” ผ่านเนื้อหาล่าสุดที่นำเสนอให้ได้อัพเดตกันในช่วงก่อนหน้านี้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะพอนึกภาพตามได้ว่ามีอะไรที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เรื่องของมลภาวะอันไม่พึงประสงค์ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ ซึ่งที่กล่าวมานี้ นอกจากกรณีศึกษาจากอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ทั้งหลายแหล่ เรื่องที่เราเคยพูดถึงไปอย่างระบบ AI ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนเทรนด์ “รักษ์โลก” ซึ่งภายในเนื้อหาวันนี้ก็จะมีตัวอย่างยกให้เห็นกันแบบชัด ๆ เป็นโปรเจกต์ของแบรนด์ไอทีพี่เบิ้มระดับโลก อย่าง “ไมโครซอฟต์” ที่ปลุกปั้นกันมาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว

“พลังงานหมุนเวียน” เทรนด์พลังงานหลักของโลกอุตสาหกรรมในอีกไม่ช้า
มลพิษทางอากาศ… “ตัวร้าย” ที่อุตสาหกรรมทั้งหลายไม่ควรมองข้าม

แต่ถ้าใครยังเห็นภาพไม่ชัดจริง ๆ ว่าเทรนด์นี้จะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง จะมีการตื่นตัวมากน้อยแค่ไหนในระดับโลก รวมถึงมียักษ์ใหญ่แบรนด์ใดที่เริ่มทำบางสิ่งบางอย่างกับธุรกิจของพวกเขา ไปพร้อม ๆ กับการดูแลโลกของพวกเราทุกคน บางทีเนื้อหาด้านล่างนี้อาจจะช่วยให้คุณได้สิ่งต่าง ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ติดตามผ่านเนื้อหาทั้งหมดนี้ได้เลย..

รักษ์โลก

“พลังงานหมุนเวียน” กับ สองลูกรักของคนดัง “อีลอน มัสก์”

สำหรับใครที่เคยได้ยินข่าวของ อีลอน มัสก์ หนึ่งในสุดยอดนักธุรกิจที่เก่งกาจเรื่องวิศวกรรมเป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์ตัวยง 

เจ้าแห่งอาณาจักร “SpaceX” และ “Tesla Motors” ถือเป็นคนดังในวงการอุตสาหกรรมที่ตื่นตัวกับสิ่งเหล่านี้เป็นคนแรก ๆ จะเห็นได้จากการเลือกใช้วัสดุเพื่อผลิตจรวดของสเปซเอ็กซ์ก็ดี หรือจะเป็นชิ้นสวนยานยนต์ รวมถึงระบบขับเคลื่อนที่บอกลาน้ำมันอันเป็นพลังงานสิ้นเปลืองของเทสล่า ทั้งสองสิ่งล้วนพิสูจน์ได้ดีว่าเทรนด์เหล่านี้ไม่ได้มาเล่น ๆ แน่นอน

เรื่องของความ “รักษ์โลก” พอจะมีแทรกซึมอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้ยกอีกตัวอย่างยักษ์ใหญ่ที่เอาจริงเอาจังด้านสิ่งแวดล้อม ดูเหมือนว่า “ไมโครซอฟต์” นั้นจะเด่นชัดสุด ซึ่งคุณสามารถพิจารณด้วยตัวเองได้จากเนื้อหานับแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป..

“AI for Earth” เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ จาก “ไมโครซอฟต์”

อย่างที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าเรื่องของ AI (Artificial Intelligence) ไม่ได้มีส่วนแค่การเข้ามาช่วยให้การทำงานภายในอุตสาหกรรมง่ายและทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ยังสามารถใช้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเหมือนอย่างที่ ไมโครซอฟต์ ทำกับสุดยอดโปรเจกต์นี้

สำหรับ “AI for Earth” ถูกปลุกปั้นมาตั้งแต่ปี 2017 จุดมุ่งหมายนั้นเน้นไปที่เรื่องของการนำนวัตกรรม AI และคลาวด์ของพวกเขามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงระบบนิเวศน์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ

รักษ์โลก
ไมโครซอฟต์ จริงจังมากแค่ไหนเรื่องรักษ์โลก?

ความเอาจริงเอาจังของยักษ์ใหญ่ด้านไอที หากนับจนถึงปัจจุบันแล้ว กว่า 236 โครงการใน 63 ประเทศทั่วโลก โดยมีแพลตฟอร์มชื่อ “ไมโครซอฟต์ อาซัวร์” เป็นคีย์แมนในการรวบรวมข้อมูล พวกเขาได้มีการพิจารณาและมอบทุนให้กับโครงการวิจัยเชิงสิ่งแวดล้อม 4 ด้ายหลักใหญ่ ได้แก่

  • เกษตรกรรม
  • ความหลากหลายทางชีวภาพ
  • ความแปรปรวนของสภาพอากาศ
  • ทรัพยากรน้ำ

ด้วยพลังด้านเงินทุนและความตั้งใจริ่เริ่มของ ไมโครซอฟต์ ได้รับการสานต่อจากสถาบันวิจัยต่าง ๆ โดยมีหนึ่งทีมวิจัยที่โดดเด่น คือ องค์กรการกุศลที่ชื่อว่า “Sustainable Coastlines”

Sustainable Coastlines คือใคร และบทบาทสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

Sustainable Coastlines คือ องค์กรไอดอลด้านรักษ์โลกจากประเทศนิวซีแลนด์ ที่สำคัญยังเป็นองค์กรการกุศลอีกด้วย พวกเขามีบทบาทเกี่ยวกับการทำงานเพื่อแก้ปัญหาขยะในท้องทะเลมากว่า 10 ปีแล้ว หากเป็นก่อนหน้านี้เรื่องดังกล่าวคงต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยการเข้ามาของ AI ทำให้พวกเขากำเนิดโซลูชั่นที่ช่วยให้หลายภาคส่วนเข้าถึงปริมาณที่ถูกต้อง รวมถึงเข้าใจสถานการณ์ที่เกิด ตลอดจนถึงแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขยะในอนาคต (โรงกลึงพี-วัฒน์ของเราก็พยายามศึกษาโปรเจกต์และกระบวนการทางวิศวกรรมต่าง ๆ ขององค์กรนี้อยู่เรื่อย ๆ เพื่อพยายามจะปรับใช้ให้เหมาะสมกับโรงกลึงของเราในพาร์ทของโซลูชั่นกำจัดของเสียเพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม)

จากมันสมอง “นักคิดทั่วโลก” สู่ผลงานที่เป็นจริงด้วย “ไมโครซอฟต์ อาซัวร์”

มาถึงตรงนี้ต้องขอประทานอภัยด้วยที่เปิดตัว “ไมโครซอฟต์ อาซัวร์” ช้าไปเสียหน่อย ซึ่งนี่ก็คือชื่อของบริการ “คลาวด์” ที่หลายคนน่าจะรู้จักและใช้ไปกับธุรกิจสตาร์ทอัพเสียมากกว่า แต่กับโปรเจกต์ “AI for Earth” ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งนี้ทำประโยชน์เพื่อโลกใบนี้ได้มากกว่าแค่เรื่องธุรกิจ

จากทีม Sustainable Coastlines ที่ดูแลเรื่องท้องทะเล หรือจะเป็น Wild Me องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ปกป้องติดตามสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งบางชนิดมีผลต่อระบบนิเวศน์โดยตรง ก็สามารถใช้ AI และข้อมูลจากคลาวด์เพื่อติดตาม ระบุตัวตนได้อย่างแม่นยำ

รักษ์โลก

เรื่อยจนมาถึงเรื่องของการเกษตร ผลงานอันโดดเด่นเห็นชัดสุดเป็นของ FarmBeats ที่ปรับใช้ด้วยการเลือกเอาอุปกรณ์เซนเซอร์ต่าง ๆ ใช้เพื่อเก็บข้อมูลจากพื้นที่ทำการเกษตร ซึ่งความละเอียดนั้นบ่งบอกได้ครบถ้วนทุกกระบวนการ ไล่ตั้งแต่ การตรวจวัดความชื้น สาอาหารต่าง ๆ อุณหภูมิหน้าดิน ภาพถ่ายทางอากาศ ข้อมูลของสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ 

ก่อนจะนำทุกอย่างมาวิเคราะห์ สรุปออกมาได้เป็นคำแนะนำช่วยให้เกษตรกรสามาถวางแผนการเพาะปลูก ตลอดจนการกะระยะเวลาวางแผนเก็บเกี่ยวได้เหมาะสมเพื่อผลผลิตที่ดีที่สุดซึ่งล้วนได้มาความอัจฉริยะของการประมวลของระบบ AI อย่างแม่นยำ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งตอกย้ำว่าเทรนด์ “รักษ์โลก” ต้องควบคู่ไปกับการทำธุรกิจไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมแขนงใดก็ตาม เพราะขนาดที่ว่าสองบริษัทที่มีมีมูลค่าสูงระดับท็อปของโลกยังให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมมากถึงเพียงนี้ ก็แทบจะไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่พวกเราจะไม่ดำเนินรอยตาม..

“พลังงานหมุนเวียน” เทรนด์พลังงานหลักของโลกอุตสาหกรรมในอีกไม่ช้า

พลังงานหมุนเวียน

มลพิษที่เกิดจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่งผลเสียต่อโลกของเราหนักหน่วงกว่าที่คาดเอาไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในร้ายก็ยังมีดีอยู่เสมอ.. เมื่อสาเหตุดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญให้ประชากรทั่วโลกหันมาตระหนักในเรื่องของมลพิษ รวมถึงข้อจำกัดที่มีของพลังงานดั้งเดิม อย่างพลังงานฟอซซิล (Fossil Fuel) ทำให้อุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานโดยตรง ต่างมีจุดหมายใหม่ในเส้นทางของการใช้พลังงานในอนาคตที่ตรงกัน ซึ่ง “พลังงานหมุนเวียน” คือเรื่องที่เราจะนำมาพูดคุยกันในวันนี้!

พลังงานหมุนเวียน คืออะไร ?

พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) คือ พลังงานต่าง ๆ จากแหล่งที่เราสามารถนำมาใช้ได้แบบไม่มีวันหมด และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก โดยเฉพาะหากเทียบกับพลังงานแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมานมนาน ข้อหลังนี้ถือเป็นข้อดีแสนสำคัญยิ่งกว่าความอมตะนิรันดร์กาลของพลังงานนี้ด้วยซ้ำ

พลังงานหมุนเวียน

พลังงานหมุนเวียน สำคัญอย่างไร ?

เอาเป็นว่าแค่การที่ใช้ได้แบบไม่มีวันหมดแค่อย่างเดียว ก็น่าจะบ่งบอกถึงความสำคัญในตัวเองของสิ่งนี้ได้เป็นอย่างดี และอย่างที่ได้บอกไปว่าทุกประเภทของพลังงานหมุนเวียนนั้นหากพูดถึงการทำลายสิ่งแวดล้อม แทบจะส่งผลน้อยนิดมากเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หลายคนเชื่อว่าจะเข้ามาแทนที่พลังงานสิ้นเปลืองในอนาคตอันใกล้นี้

หากมีการปรับใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เห็นผลจากคุณภาพชีวิตขอประชากรโลกและสิ่งแวดล้อม พลังงานหมุนเวียนจะกลายเป็นเทรนด์พลังงานหลักในไม่ช้า ชนิดที่ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมธุรกิจขนาดใด องค์กรต่าง ๆ หรือรัฐบาลไหนก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้เลย

อุตสาหกรรม “พลังงานหมุนเวียน” มีขนาดใหญ่มากแค่ไหน ?

อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกนั้นโตขึ้นอย่างมาย ในอัตราที่รวดเร็วในปีที่ผ่านมา คิดเป็นอัตราเฉลี่ยแล้วเร็วที่สุดนับแต่ปี 1999 กันเลยทีเดียว นำทัพด้วย “พลังงานลม” และ “พลังงานแสงอาทิตย์” โดยสองสิ่งนี้กระตุ้นอัตรากำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นมากถึง 45% ตัวเลขนี้เป็นการเก็บสถิติรวมจากทวีปยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน

พลังงานหมุนเวียน

5 ประเภทหลักของ พลังงานหมุนเวียน

โดยทั่วไปพลังงานหมุนเวียนแต่ละอย่างนั้นมีหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกันได้หลากหลาย ทั้งยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนโดยตรง สำหรับพลังงานทางเลือกที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ โดยแบ่งได้เป็น 5 ประเภทหลัก ดังนี้

1. พลังงานแสงอาทิตย์

เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีหากเราพูดถึง “โซลาร์เซลล์” ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นพลังงานธรรมชาติแรก ๆ ที่ทุกคนน่าจะนึกถึงจากแสงแดดอันเจิดจ้าที่พร้อมทักทายเราในทุกวัน และก็แน่นอนว่าพลังงานได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก

โรงกลึงพี-วัฒน์เองก็กำลังศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้ร่วมกับเทคโนโลยี IoT เพื่อใช้ในกระบวนการที่สนับสนุนส่วนของการผลิต เป้าหมายคือเพื่อประหยัดพลังงาน สนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่าที่ทำได้ ช่วยลดต้นทุน และที่สำคัญต้องยังคงรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไว้ให้อยู่ในระดับเดิม

แต่เชื่อหรือไม่ว่าหากนับเรื่องของอัตราการผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก พลังงานแสงอาทิตย์เป็นเพียงอันดับ 3 เท่านั้น

2. พลังงานลม

เรียกได้ว่าเก่าแก่และได้รับความนิยมไม่แพ้กับประเภทแรกกันเลย เป็นเวลาหลายศตวรรษที่พวกเราใช้พลังงานลมในรูปแบบของการแล่นเรือใบและกังหันลม โดยปัจจุบันแล้วส่วนใหญ่หันมาใช้ลมเพื่อผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมนั่นเอง

เมื่อปี 2019 มีการเก็บสถิติกำลังการผลิตพลังงานลม มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 24% ซึ่งก็ทำได้สูงกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ทำได้อยู่ 20% ของกำลังการผลิตพลังงานทั่วโลก

3. พลังงานความร้อนใต้พิภพ

โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นตัวอย่างของการใช้ในอุตสาหกรรมความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานหมุนเวียนอีกประเภทนึงที่ผลิตได้มาก 

พื้นดินใต้เท้าของเรามีพลังงานจำนวนไม่จำกัด เป็นผลมาจากพื้นผิวที่ดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ลึกลงไปในพื้นโลก ซึ่งความนิยมหลัก ๆ มาจากการเลือกใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

4. พลังงานน้ำ

“กังหันน้ำ” เป็นเทคโนโลยีที่มาก่อนกาลมาก ๆ เราได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานนี้ในรูปแบบที่ยังคงมีพื้นฐานมาจากความคิดตั้งต้น โดยใช้พลังงานน้ำในการเคลื่อนที่เพื่อก่อให้เกิดพลังงาน ก่อนจะปรับใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

สามประเทศที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำมากที่สุดในโลก เป็นสถิติที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2018 ได้แก่ จีน (352,261 เมกะวัตต์), บราซิล (104,195 เมกะวัตต์) และสหรัฐอเมริกา (103,109 เมกะวัตต์)

5. พลังงานชีวภาพ

พลังงานชีวภาพ หรือ พลังงานชีวมวล คือการใช้อินทรียวัตถุเพื่อการใช้พลังงานที่หลากหลาย อาทิ ไม้, พืชผล, ขยะในสวน รวมถึง ของเสียจากสัตว์และมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ไม้หากต้องการผลิตพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

แต่สำหรับพลังงานนี้ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ไม่น้อย เนื่องจากยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลายด้านที่อาจต้องนำมาประกอบการพิจารณาในอนาคต แต่หากพูดถึงประโยชน์ที่ได้รับในตอนนี้และเทียบกับพลังงานสิ้นเปลือง พลังงานชีวภาพ อยู่ในระดับที่จิ๊บจ๊อยกว่ามากทีเดียว

พลังงานหมุนเวียน

แนวโน้มพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย และการปรับใช้ในอุตสาหกรรม

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้จับมือกับ มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน จัดงานสัมนา AEDP (Alternative Energy Development Plan) ภาคประชาชน เพื่อนำเสนอปัญหาและอุปสรรค รวมถึงข้อเสนอแนะในการพัฒนาพลังงานที่จะเพิ่มศักยภาพให้แก่อุตสาหรรมที่เกี่ยวข้อง แต่ยังดำเนินไปพร้อมกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้เชื่อเหลือเกินว่าพวกเรากำลังเดินทางเข้าใกล้กับยุคแห่งการใช้พลังงานหมุนเวียนขับเคลื่อนเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสม แม้จะดูเหมือนว่าเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่การที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ หากเกิดเป็นเทรนด์ของโลกเมื่อไหร่จะสร้างประโยชน์มากมายให้แก่ “อุตสาหกรรมการผลิต” และ “สิ่งแวดล้อม” อย่างมากแน่นอน

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลความรุ้ดี ๆ สำหรับเรื่องของ “พลังงานหมุนเวียน” 

https://www.clean-energy-ideas.com/energy/renewable-energy/the-5-main-types-of-renewable-energy/
https://www.nrdc.org/stories/renewable-energy-clean-facts