CASE STUDY : โครงการระดับโลก ป้องกัน ฝุ่น PM2.5 ที่เราต้องเรียนรู้

ฝุ่น PM2.5

ฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ถึง 25 เท่า ทำให้ขนจมูกไม่สามารถกรองได้ ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินหายใจสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย ผลกระทบต่อสุขภาพของ PM2.5 นั้นมีความรุนแรง เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

ปัญหาของเจ้าฝุ่นพิษนี้ เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม โครงการและมาตรการต่าง ๆ ที่นานาประเทศได้นำมาใช้ในการรับมือและป้องกัน ฝุ่น PM2.5 นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษา เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศอื่น ๆ ที่อาจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อลดมลพิษทางอากาศและปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน รวมถึงต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีฟอกอากาศ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว พลังงานสะอาด และการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ และต่อไปนี้คือ สองประเทศที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาโครงการเพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 ควรค่าแก่การนำมาศึกษา

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

ประเทศจีน กับการป้องกัน ฝุ่น PM2.5

ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศรุนแรงที่สุดในโลก โดยเฉพาะ ฝุ่น PM2.5 ที่มาจากภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และการเผาไหม้เชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลจีนได้ดำเนินโครงการและมาตรการหลายอย่างในการลดฝุ่นพิษอย่างจริงจัง

ประเทศจีนให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง และได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ รวมถึงโครงการสำคัญมากมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

ควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ

  • การจำกัดการใช้รถยนต์ ภาครัฐได้มีการออกมาตรการที่เข้มงวด หลายเมืองใหญ่ของจีน เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ได้จำกัดจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานสะอาดอื่น ๆ รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่สะอาด และปลอดภัย มีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อช่วยลดการปล่อยฝุ่นออกสู่บรรยากาศ
  • การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลจีนได้สั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษสูง และกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดสำหรับโรงงานที่ยังเปิดดำเนินการอยู่
  • การจัดการปัญหาการเผาในที่โล่ง รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายห้ามการเผาในที่โล่ง และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการขยะและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ส่งเสริมพลังงานสะอาด

  • การลงทุนในพลังงานทดแทน รัฐบาลจีนได้ลงทุนอย่างมากในพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลจีนได้ให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่โรงงานที่ใช้พลังงานสะอาด

พัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศ

  • การติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ รัฐบาลจีนได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วประเทศ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพอากาศให้ประชาชนได้รับทราบ
  • การพัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศที่มีความแม่นยำ นักวิทยาศาสตร์จีนได้พัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพยากรณ์คุณภาพอากาศล่วงหน้า ทำให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ได้

สร้างความตระหนักและความเข้าใจ

  • การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของฝุ่น PM2.5 และวิธีการป้องกันตนเองผ่านสื่อต่าง ๆ
  • การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เช่น การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และการปลูกต้นไม้
  • ลงทุนในแคมเปญการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกัน ฝุ่น PM2.5 เช่น การใช้หน้ากากอนามัยในวันที่มีค่าฝุ่นสูง

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน จีนได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

ตัวอย่างโครงการที่สำคัญ

โครงการ Blue Sky Protection Plan (แผนปกป้องท้องฟ้าสีคราม)

โครงการ “Blue Sky” เป็นโครงการที่รัฐบาลจีนริเริ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีเป้าหมายในการลดมลพิษทางอากาศอย่างเป็นระบบ โดยโครงการนี้ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อ..

  1. จำกัดการใช้ถ่านหิน และเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน
  2. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีกรองฝุ่นและกำหนดมาตรฐานเข้มงวดขึ้น
  3. ส่งเสริมการใช้พาหนะพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการขยายโครงข่ายขนส่งสาธารณะ
  4. เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

ซึ่งมีโครงการย่อยหรือ side-project ที่สำคัญในการทำให้บรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้

โครงการด้านเทคโนโลยี AI และ Big Data ตรวจจับมลพิษ

จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ PM2.5 แบบเรียลไทม์ มาตรการสำคัญ ได้แก่..

  • ติดตั้งเซ็นเซอร์คุณภาพอากาศทั่วประเทศ เพื่อตรวจจับฝุ่น PM2.5 และแจ้งเตือนประชาชน
  • ใช้ AI คาดการณ์แนวโน้มมลพิษ และวิเคราะห์แหล่งที่มาของฝุ่น เพื่อออกมาตรการควบคุมล่วงหน้า
  • ระบบควบคุมการจราจรอัจฉริยะ เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ

โครงการสร้าง “หอคอยฟอกอากาศ” ขนาดใหญ่

จีนได้พัฒนา หอคอยฟอกอากาศขนาดใหญ่ (Smog Tower) ในเมืองซีอาน ซึ่งเป็นโครงการทดลองที่ใช้เทคโนโลยีดูดซับฝุ่น PM2.5 และปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับสู่ชั้นบรรยากาศ หอคอยนี้สูงประมาณ 60 เมตร และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มีประสิทธิภาพสูงที่สามารถลดระดับ PM2.5 ได้มากถึง 15% ในบริเวณโดยรอบ และมีแผนขยายโครงการไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้

โครงการควบคุมการเผาในที่โล่งและมลพิษจากภาคเกษตร

หนึ่งในสาเหตุหลักของ ฝุ่น PM2.5 ในจีนมาจาก การเผาพืชไร่และฟางข้าว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท รัฐบาลจีนได้ดำเนินมาตรการเข้มงวด 3 มาตรการสำคัญคือ..

  1. ห้ามเผาในที่โล่ง และกำหนดค่าปรับสูงสำหรับผู้ฝ่าฝืน
  2. ส่งเสริมเทคโนโลยีทางเลือก เช่น การนำฟางข้าวไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ
  3. ใช้โดรนและดาวเทียม เพื่อตรวจจับจุดเผาไหม้และดำเนินมาตรการควบคุมอย่างทันท่วงที

โครงการปลูกต้นไม้เพื่อลดมลพิษและขยายพื้นที่ป่า

จีนเป็นประเทศที่มีการปลูกป่ามากที่สุดในโลก เพื่อช่วยดูดซับมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5

  • โครงการย่อย “Great Green Wall” ซึ่งเป็นการปลูกป่าในพื้นที่ทะเลทรายโกบีเพื่อลดพายุฝุ่นและมลพิษ
  • ขยายพื้นที่สีเขียวในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว
  • การใช้ “ป่าดาดฟ้า” บนอาคารสูง เพื่อช่วยฟอกอากาศในเขตเมือง

ความพยายามของจีนในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ส่งผลให้คุณภาพอากาศในหลายเมืองใหญ่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังคงเป็นความท้าทายที่จีนต้องเผชิญต่อไป จีนได้ดำเนินมาตรการป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างเป็นระบบ โดยใช้ทั้ง นโยบายรัฐ เทคโนโลยี AI การฟอกอากาศ และการปลูกป่า ส่งผลให้คุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการและโครงการเหล่านี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้ เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นในระยะยาว

บิ๊กยุโรป เยอรมนี กับโครงการในการป้องกัน ฝุ่น PM2.5

แน่นอนครับ ประเทศเยอรมนีมีโครงการและมาตรการหลายอย่างที่มุ่งเน้นการป้องกันและลดปัญหา ฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่กว้างขึ้นในการจัดการมลพิษทางอากาศ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

รู้ไหมครับว่า.. เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาหลักในเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรม รัฐบาลเยอรมันได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อ ลดและป้องกัน PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

การควบคุมการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ

เยอรมนีมีมาตรฐานที่เข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของฝุ่น PM2.5 และแน่นอนว่ามีการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่น ๆ เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลประกาศให้มีการกำหนดเขต Low Emission Zones ในหลายเมือง ซึ่งจำกัดการเข้าถึงของรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูง

การควบคุมมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม

รัฐบาลออกกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและมีประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งมีการตรวจสอบและติดตามการปล่อยมลพิษอย่างสม่ำเสมอ

การส่งเสริมพลังงานสะอาด

เยอรมนีมีการลงทุนอย่างมากในพลังงานทดแทน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และตั้งเป้าหมายที่จะลดการใช้พลังงานจากถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์ มีการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน

การจัดการปัญหาการเผาในที่โล่ง

กฎหมายห้ามการเผาในที่โล่ง ยกเว้นในบางกรณีที่ได้รับอนุญาต มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการขยะและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

การพัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศ

ข้อนี้เป็นโครงการที่โดดเด่น เพราะเยอรมนีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญการการพัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศที่มีความแม่นยำและสามารถแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที ข้อมูลคุณภาพอากาศจะเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และป้ายเตือนในเมือง

การสร้างความตระหนักและความเข้าใจ

รัฐบาลเยอรมนีให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับประชาชน มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของฝุ่น PM2.5 และวิธีการป้องกันตนเองผ่านสื่อต่างๆ

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

เยอรมนีมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคโนโลยีกับประเทศอื่นๆ ในการจัดการมลพิษทางอากาศ

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

ตัวอย่างโครงการที่สำคัญ

โครงการ Clean Air Programme for Europe

โครงการ “Clean Air Programme” เป็นโครงการที่รัฐบาลเยอรมนีริเริ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งริเริ่มโดยสหภาพยุโรป (EU) เป้าหมายหลักคือการลดมลพิษทางอากาศโดยมีมาตรการสำคัญ เช่น

  • กำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น สำหรับภาคอุตสาหกรรมและยานพาหนะ
  • ควบคุมปริมาณฝุ่น PM2.5 โดยใช้เทคโนโลยีดักจับมลพิษในโรงงาน
  • ส่งเสริมพลังงานสะอาด และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

Low Emission Zones (LEZs) – เขตปลอดมลพิษ

เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่นำแนวคิด “Low Emission Zones (LEZs)” หรือเขตปลอดมลพิษมาใช้ในเมืองใหญ่ เช่น เบอร์ลิน มิวนิก และฮัมบูร์ก

  • ห้ามรถยนต์ดีเซลเก่าที่ปล่อยมลพิษสูงเข้าเขตเมือง เพื่อลดฝุ่น PM2.5
  • ติดตั้งเครื่องตรวจจับมลพิษและระบบกล้องอัจฉริยะ เพื่อควบคุมการเข้าออกของยานพาหนะ
  • สนับสนุนให้ประชาชนใช้ขนส่งสาธารณะและจักรยาน แทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว

โครงการ Green City Plan – เมืองสีเขียวเพื่อลด PM2.5

รัฐบาลเยอรมันได้พัฒนา “Green City Plan” ในหลายเมืองเพื่อปรับโครงสร้างเมืองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษทางอากาศ และลดฝุ่นพิษ PM2.5

  • เพิ่มพื้นที่สีเขียวและป่าในเมือง เพื่อช่วยดูดซับมลพิษ
  • ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในพื้นที่สาธารณะ เช่น สถานีขนส่งและถนนสายหลัก
  • พัฒนาทางเดินเท้าและเลนจักรยาน เพื่อลดการใช้รถยนต์

การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขนส่งสาธารณะ

เยอรมนีเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และมีโครงการส่งเสริมการใช้ รถยนต์พลังงานสะอาด เพื่อลดฝุ่น PM2.5

  • สนับสนุนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมอบเงินอุดหนุนให้ประชาชนที่เปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาด
  • เพิ่มสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน
  • พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟพลังงานไฮโดรเจนและรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า

มาตรการควบคุมมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม

เยอรมนีมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ที่สำคัญ รัฐบาลได้กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมมลพิษ เช่น

  • บังคับใช้เทคโนโลยีดักจับฝุ่นและมลพิษในโรงงาน
  • กำหนดเพดานการปล่อยมลพิษ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
  • ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการใช้ถ่านหินและน้ำมันดีเซล

โครงการป่าไม้ในเมือง – Urban Forest Initiative

โครงการนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองใหญ่ของเยอรมนี เช่น ฮัมบูร์กและแฟรงก์เฟิร์ต

  • ปลูกต้นไม้และป่าเมือง เพื่อลดมลพิษและเพิ่มออกซิเจน
  • พัฒนา “หลังคาสีเขียว” และสวนแนวตั้ง บนอาคารสูงเพื่อช่วยฟอกอากาศ
  • ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ และดูแลพื้นที่สีเขียว

เยอรมนีเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่มีแนวทาง ป้องกัน ฝุ่น PM2.5 อย่างครอบคลุม โดยใช้ เทคโนโลยี นโยบายสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงโครงสร้างเมือง โครงการเหล่านี้ช่วยให้คุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่น ๆ ในการจัดการมลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

แนวทางของประเทศไทย ที่ทำได้เพียงแค่ป้องกัน เท่านั้นหรือ ..?

ฝุ่น PM2.5 เป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ณ วันนี้ยังไม่มีโครงการที่ชัดเจนออกมาสำหรับประเทศไทย เราจึงทำได้เพียงแค่การขอความร่วมมือและป้องกัน ลดการสัมผัสฝุ่นพิษ มุ่งให้ความรู้ในภาคประชาชน และขอความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม โรงงาน โรงกลึง จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยทุกคนควรช่วยกันลดมลพิษ และติดตามค่าฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกัน เพื่อรักษาสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง โดยมีแนวทางที่ควรปฏิบัติดังนี้

  1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น เช่น หน้ากาก N95 เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง
  2. ใช้เครื่องฟอกอากาศ ภายในบ้านหรือที่ทำงานเพื่อลดปริมาณฝุ่น
  3. ติดตามคุณภาพอากาศ ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์รายงานค่าฝุ่น PM2.5
  4. ลดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง
  5. สนับสนุนการลดมลพิษ เช่น ใช้ขนส่งสาธารณะ ลดการเผาไหม้ และปลูกต้นไม้เพิ่ม

Cover designed by Freepik

Safety First ! ส่องอนาคตด้านสุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน

ความปลอดภัยในโรงงาน

ในปัจจุบันนี้สุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน ในอุตสาหกรรม ทั้งในประเทศอุตสาหกรรมทั่วโลกหรือแม้แต่ประเทศไทยต่างก็มีแนวคิด วิธีการ และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อมาเสริมสร้างการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และยังต้องได้ผลผลิตที่ยอดเยี่ยมตรงตามมาตรฐานการผลิด โรงกลึงพีวัฒน์เองก็ยังคงหาข้อมูลและอัปเดทเกี่ยวกับสิ่งนี้เพื่อนำมาปรับพัฒนาคุณภาพของพนักงานช่าง วิศวกร ในโรงกลึงของเราเสมอ โดยตามหลักแล้วทุกอุตสาหกรรมจะยึดหลักการเดียวกันว่าพนักงานทุกคนจะต้องมีความปลอดภัยเป็นสำคัญอันดับแรก เนื่องจากต้องทำงานท่ามกลางเครื่องจักร ตามด้วยส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขในการทำงานและสุขภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถยึดมาตรฐาน ISO 45001 ที่นับว่าเป็นมาตรการความปลอดภัยระดับสากลที่ทั่วโลกต่างต้องมี

5 เทรนด์พัฒนาสุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน ในอุตสาหกรรม

สำหรับการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในโรงงานในอุตสาหกรรม ถ้าสังเกตต่างก็มีนวัตกรรมมากมายเพื่อมาช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหากอธิบายแบบให้เห็นชัด ๆ ว่า 5 เทรนด์ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานทุกคนในองค์กรสามารถทำได้อย่างไร สามารถตามอ่านกันได้เลย

(1) การพัฒนาด้านสุขภาพและพลานามัยของพนักงานพื้นฐาน

สำหรับพื้นฐานด้านสุขภาพและพลานามัยของพนักงานนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำตั้งแต่ต้น ซึ่งในจุดนี้ควรจะมีในทุก ๆ องค์กรเพื่อที่ว่าจะสามารถพัฒนาชีวิตขั้นพื้นฐานของพนักงานให้เป็นไปในทิศทางที่ดี และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเรื่องที่จะต้องเน้นมีรายละเอียดดังนี้

  • การได้รับโภชนาการอาหารที่ครบถ้วน – สำหรับการได้รับโภชนาการอาหารที่ครบถ้วนนับเป็นสิ่งที่สามารถส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพนักงานได้ในระยะยาว
  • การได้รับการดูแลทางร่างกายและจิตใจ – การทำงานของพนักงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการใส่ใจในการดูแลสุขภาพทั้งในเรื่องของร่างกายและจิตใจที่จะต้องหมั่นเช็กเสมอนับว่าเป็นการป้องกันสุขภาพที่ดี
  • การให้ความสำคัญกับสังคมและเศรษฐกิจ – สังคมในที่ทำงานนับเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเป็นไปในทิศทางบวก รวมทั้งเศรษฐกิจที่จะต้องให้ความสำคัญ เพื่อที่จะทำความเข้าใจพนักงานในเรื่องของสวัสดิการและรายได้ที่ดี
ความปลอดภัยในโรงงาน
Image by Freepik

(2) อัพเดทอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE ตามสายงานอุตสาหกรรม

การทำงานในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ นับเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจในเรื่องของยูนิฟอร์ม รวมไปถุงอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE ตามแต่ละสายงานอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันที่ครบถ้วน และพนักงานทุกคนควรจะมีของตัวเองเพื่อสามารถเพิ่มความปลอดภัยในโรงงานให้กับพนักงานได้เป็นอย่างดี

  • ยูนิฟอร์มเหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน – ยูนิฟอร์มนับเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ควรดีไซน์ให้เหมาะสมกับการทำงานประเภทต่างๆ ซึ่งหนึ่งที่ทางต่างประเทศให้ความใส่ใจนั่นก็คือ การทำเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ไร้รอยต่อ เบาทำให้สะดวกแก่การทำงาน หรือหากต้องมีถุงมือก็จะเป็นถุงมือถักไร้รอยต่อและเหมาะกับมือของบุคคลนั้นๆ 
  • อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE – สำหรับอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE นับเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากที่จะต้องตระเตรียมให้พร้อม แต่ทั้งนี้การเพิ่มระบบเซ็นเซอร์ภายในชุด เพื่อเช็คอัพติดตามการทำงานของพนักงาน เพื่อดูความปลอดภัยได้ตลอดเวลาคือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ
  • ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเช็คสุขภาพของพนักงาน – การติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่มีการออกแบบเฉพาะ เพื่อเช็คสุขภาพในเรื่องของอัตราการเต้นของหัวใจ แคลอรี่ที่เผาผลาญ จำนวนที่ก้าวเดิน ความดัน ระดับออกซิเจน ระดับเหงื่อ สัญญาชีพ และ ปริมาณแอลกอฮอล์สิ่งเหล่านี้จะสามารถดูแลสุขภาพเพิ่ม ความปลอดภัยในโรงงาน ให้กับขณะที่พนักงานปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

(3) รวบรวมข้อมูลการทำงานของพนักงานเพื่อพัฒนาสุขภาพและความปลอดภัย

การรวบรวมข้อมูลการทำงานของพนักงานแต่ละคนจะสามารถพัฒนาสุขภาพและความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์ได้หลายด้านทั้งในแง่ของความปลอดในการทำงาน หรือการคาดการณ์เหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งถือว่าเป็นการหาแนวทางป้องกันก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง เพื่อลดการเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ หรือการเกิดโรคในระยะยาวได้

(4) การปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมช่วยในการทำงาน

การปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมก็นับเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะทำให้ระบบการทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเน้นพัฒนาในด้านความปลอดภัยเป็นหลัก ก็ยิ่งจะสร้างความปลอดภัยในโรงงานให้ดียิ่งขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้จากเครื่องในโรงงานอุตสาหกรรมปรับการใช้งานที่ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น หรือการพัฒนาแอพลิเคชั่นที่เพิ่มความสะดวกในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

ความปลอดภัยในโรงงาน
Image by fxquadro on Freepik

(5) การเลือกใช้หุ่นยนต์หรือพาหนะในงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ

การเลือกใช้หุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งพาหนะต่างๆ ที่เน้นในรูปแบบเป็นมิตรกับพนักงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่หลายๆ โรงงานอุตสาหกรรมต่างก็พากันใส่ใจมากยิ่งขึ้น เพื่อลดอุบัติเหตุในการทำงาน ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มสุขภาพที่ดีให้กับพนักงานได้ ส่วนใหญ่ที่มักจะพบได้แก่

  • การเลือกใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ EV – การเลือกใช้รถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ EV ถ้าหากนึกง่ายๆ ก็คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นมิตรกับพนักงานและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะระหว่างการใช้งานจะไม่สร้างสิ่งที่เป็นมลพิษทางอาการได้นั่นเอง
  • การเลือกใช้รถหรืออุปกรณ์ต่างๆด้วยระบบ AV – สำหรับระบบ AV คือระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่สามารถเห็นได้มากยิ่งขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างเช่น  หุ่นยนต์จัดส่งสินค้า , หุ่นยนต์ช่วยงานโรงงาน เป็นต้น
  • การเลือกใช้รถยนต์ไร้คนขับ – นับว่าเป็นนวัตกรรมที่กำลังมีขึ้นในอนาคตเพื่อลดอุบัติเหตุขณะจัดการส่งสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง สามารถหลีกเลี่ยงยานพาหนะ คน และสิ่งกรีดขวางอื่น ๆ ได้ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพแวดล้อม รวมทั้งคาดการณ์เหตุการ์ที่เป็นอันตราย

สุขภาพและ ความปลอดภัยในโรงงาน เกิดจากผู้เชี่ยวชาญ

ในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในโรงงาน สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือการเลือกเฟ้นผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจัดการระบบผ่านการคิด วิเคราะห์ สรุปผล และหาแนวทางป้องกันในเรื่องของสุขภาพ รวมทั้งความปลอดภัยขณะการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงขณะทำงาน ในเวลาเดียวกันเจ้าขององค์กรเองก็ควรจะให้ความสำคัญและเป็นแบบอย่างในการพัฒนาสุขภาพและความปลอดภัยของทุกคนในองค์กรให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

Cover Image : Image by senivpetro on Freepik