พลังงานแสงอาทิตย์จีน โครงการโซลาร์ยักษ์ใหญ่เขย่าโลกพลังงานสะอาด

พลังงานแสงอาทิตย์

จีนถือเป็นประเทศผู้นำด้าน พลังงานแสงอาทิตย์ ของโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านเทคโนโลยี แผงโซลาร์ และโครงการโรงไฟฟ้าขนาดมหึมา ล่าสุด จีนได้เปิดตัว โครงการโซลาร์ขนาดยักษ์ในทะเลทรายโกบี ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโลกนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งด้านพลังงานและเศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไรลองไปดูกันเลยทุกคน !

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

จุดเด่นของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในจีน

ขนาดมหึมา

ขนาดโครงการที่ใหญ่ที่สุดในโลก โครงการบางแห่งมีพื้นที่ติดตั้งแผงโซลาร์ครอบคลุมหลายร้อยตารางกิโลเมตร สามารถผลิตไฟฟ้าได้หลายกิกะวัตต์ต่อปี จีนได้สร้างโครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power Plant) ที่มีขนาดมหึมา เช่น ฟาร์มโซลาร์ในทะเลทรายโกบี และมองโกเลียใน ครอบคลุมพื้นที่หลายพันเฮกตาร์ การสร้างโครงการขนาดยักษ์นี้ช่วยให้จีนสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าหลายสิบกิกะวัตต์ต่อปี ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของโลก จุดเด่นนี้ไม่เพียงแค่สร้างความมั่นคงทางพลังงาน แต่ยังทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำใน อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

การใช้เทคโนโลยีโซลาร์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งระบบติดตามแสงอาทิตย์ (solar tracking) และการเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ จีนไม่ได้ใช้เพียงแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป แต่มีการนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง PERC Solar Cells, Bifacial Panels (แผงสองด้าน) และ Floating Solar Farm (โซลาร์ลอยน้ำ) เข้ามาใช้งาน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 10–20% พร้อมทั้งลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า จุดนี้ทำให้โครงการของจีนมีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน และเป็นตัวอย่างที่หลายประเทศกำลังศึกษาเพื่อนำไปต่อยอด

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น

ช่วยสร้างงานในภูมิภาคห่างไกล และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านพลังงาน หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในจีน คือการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทและเมืองรองได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงการ Solar Farm ขนาดใหญ่ต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในช่วงก่อสร้างและการบำรุงรักษา ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น เพิ่มรายได้แก่ประชาชน และลดการอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่

นอกจากนี้ โครงการพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้ยังช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ร้านค้า, ที่พัก, โลจิสติกส์ และบริการเสริมที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิด “ระบบนิเวศเศรษฐกิจพลังงานสะอาด” ที่ชุมชนมีส่วนร่วมโดยตรง ต่อยอดไปถึงการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ จีนจึงไม่เพียงเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ยังใช้โครงการเหล่านี้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นแบบยั่งยืน อีกด้วย

ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศที่เคยเกิดขึ้นจากการใช้ถ่านหิน โครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) ของจีนมีบทบาทสำคัญในการลดการพึ่งพาถ่านหินและน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหามลพิษทางอากาศและก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในระดับเมกะโปรเจกต์ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายล้านตันต่อปี ถือเป็นก้าวใหญ่ของจีนในการบรรลุเป้าหมาย “Carbon Neutrality” ภายในปี 2060

นอกจากนี้ พื้นที่ติดตั้ง Solar Farm หลายแห่งยังถูกออกแบบให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น สร้างบนพื้นที่ทะเลทรายที่ไม่เหมาะกับการเกษตร หรือทำโครงการ “Solar + Agriculture” ที่ผสานการผลิตไฟฟ้ากับการทำเกษตรใต้แผงโซลาร์ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียพื้นที่เพาะปลูก และยังเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

ในภาพรวม การลงทุนด้าน พลังงานแสงอาทิตย์ในจีน ไม่ได้เป็นเพียงการผลิตไฟฟ้าสะอาดเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ลดฝุ่นควันในเมืองใหญ่ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทั้งประเทศและโลก

จีนในฐานะผู้นำตลาดโลก

จีนไม่ได้เป็นเพียงผู้ติดตั้งแผงโซลาร์รายใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่ยังครองห่วงโซ่อุปทานพลังงานแสงอาทิตย์โลก ตั้งแต่การผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอน เซลล์แสงอาทิตย์ ไปจนถึงการส่งออกโมดูลไปทั่วโลก ทำให้ บริษัทจีนอย่าง LONGi, JA Solar และ Trina Solar กลายเป็นผู้เล่นหลักที่กำหนดทิศทางตลาดโลก

ต้นทุนพลังงานที่ถูกลงและดึงดูดการลงทุน

เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิต แผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ต้นทุนต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจนสามารถแข่งขันกับพลังงานฟอสซิลได้แล้ว จุดนี้ทำให้ไม่เพียงแต่รัฐบาลจีนสนับสนุน แต่ยังดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในจีนอย่างต่อเนื่อง

การเชื่อมโยงเข้ากับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)

จุดแข็งของจีนฐานะผู้นำตลาดโลกอีกข้อคือ การลงทุนใน Smart Grid และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ที่ทันสมัย เมื่อไฟฟ้าจากโซลาร์ถูกผลิตขึ้น จีนสามารถกระจายพลังงานไปยังเมืองใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบนี้ช่วยลดการสูญเสียไฟฟ้าในสายส่ง และทำให้พลังงานแสงอาทิตย์สามารถนำมาใช้ได้จริงในวงกว้างตลอดทั้งปี

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

โครงการโซลาร์ในจีนไม่เพียงแต่มีผลต่อการใช้พลังงานภายในประเทศ แต่ยังสร้างแรงกดดันให้นานาชาติเร่งปรับตัว เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานหมุนเวียน ลดลงอย่างต่อเนื่อง และกำลังกลายเป็นทางเลือกหลักในการลงทุน

ยกระดับจีนสู่ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนของโลก

โครงการโซลาร์เซลล์ขนาดมหึมาในจีนช่วยให้ประเทศนี้ครองตำแหน่ง ผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ทั้งด้านการผลิตไฟฟ้า การส่งออกเทคโนโลยี และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จีนไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ตัวเอง แต่ยังกลายเป็นแหล่งเรียนรู้และต้นแบบให้ประเทศอื่น ๆ หันมาพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น

ผลักดันการวิจัยและนวัตกรรมโซลาร์เซลล์

เมื่อมีการลงทุนขนาดใหญ่ จีนสามารถทุ่มงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั้งด้านประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ การกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และระบบ Smart Grid สิ่งนี้ช่วยเร่งนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ต้นทุนการผลิต ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ลดลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในตลาดโลก

กระตุ้นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)

การสร้างโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาดยักษ์ในจีนทำให้เกิดการขยายตัวของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบซิลิคอน โรงงานแปรรูป การขนส่งอุปกรณ์ ไปจนถึงบริการติดตั้งและบำรุงรักษา สิ่งนี้สร้างผลบวกต่อ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อย่างครอบคลุม และยังช่วยให้บริษัทเอกชนจากหลายประเทศเข้ามาลงทุนร่วม

พลังงานแสงอาทิตย์
(ไม่ใช่ภาพจริงของโครงการ)

เร่งการแข่งขันในตลาดโลก

จีนได้สร้างแรงกดดันเชิงบวกให้กับประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป หรืออินเดีย ที่ต้องเร่งพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนเพื่อแข่งขันด้านต้นทุน เทคโนโลยี และความสามารถในการผลิตไฟฟ้าสะอาดมากขึ้น นี่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์โลก เติบโตอย่างก้าวกระโดด

Key Takeaways

โครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ในจีน ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผนพลังงานทดแทน แต่ยังเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านพลังงานในระดับโลก จุดเด่นทั้งด้าน ขนาดโครงการ เทคโนโลยีที่ทันสมัย การลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ระบบ Smart Grid และต้นทุนที่แข่งขันได้ ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และมีบทบาทสำคัญต่ออนาคตพลังงานของโลก สร้างแรงกระเพื่อมระดับโลก ทำให้พลังงานแสงอาทิตย์ถูกยกระดับเป็นหัวใจหลักของการเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) ซึ่งการลงทุนของจีนใน พลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความจริงจังในการสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืน ทั้งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การเสริมความมั่นคงทางพลังงาน และการผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป จีนมีโอกาสกลายเป็นผู้นำด้าน การเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ที่โลกต้องจับตา

Credit Images : https://www.freepik.com

ไบโอมีเทน เครื่องยนต์ชีวมีเทน นวัตกรรมพลังงานสะอาดที่อาจเปลี่ยนโลก

ไบโอมีเทน

ไบโอมีเทน (Biomethane) กำลังเป็นพลังงานทางเลือกที่ทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซชีวภาพนี้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่าไบโอมีเทนคืออะไร แตกต่างจากก๊าซชีวภาพทั่วไปอย่างไร ญี่ปุ่นพัฒนาไปถึงไหนแล้ว และใช้งานจริงที่ไหนบ้าง

ไบโอมีเทนคืออะไร?

ไบโอมีเทน คือก๊าซชีวภาพที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพให้บริสุทธิ์จนสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์ ก๊าซนี้ผลิตจากการหมักขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร มูลสัตว์ และพืชผลทางการเกษตร แล้วนำมากรองให้เหลือเฉพาะก๊าซมีเทนความเข้มข้นสูง ซึ่งเรียกว่า ชีวมีเทน หรือในบริบทสากลใช้คำว่า “Biomethane”

ไบโอมีเทน

ข้อดีของไบโอมีเทน

  • ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ
  • ใช้ของเสียในชุมชนให้เกิดประโยชน์
  • ผลิตได้ในประเทศ ลดการนำเข้าพลังงาน
  • ใช้งานได้ทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการขนส่ง
  • รองรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

ญี่ปุ่นกับการพัฒนาเทคโนโลยีไบโอมีเทน

หลังภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ญี่ปุ่นเริ่มลงทุนในพลังงานทางเลือกหลายรูปแบบ และหนึ่งในพลังงานที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ ไบโอมีเทน เนื่องจากสามารถผลิตในระดับท้องถิ่น ใช้งานได้จริง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กระบวนการผลิตชีวมีเทนในญี่ปุ่น

  1. รวบรวมขยะอินทรีย์ เช่น มูลสัตว์ เศษอาหาร
  2. นำเข้าสู่ถังหมักไร้ออกซิเจนเพื่อให้จุลินทรีย์ย่อยสลาย
  3. ได้ก๊าซชีวภาพ แล้วนำมากรองให้ได้ไบโอมีเทนบริสุทธิ์
  4. บรรจุในถังแรงดันเพื่อส่งต่อให้กับภาคส่วนต่างๆ เช่น การขนส่ง หรือผลิตกระแสไฟฟ้า

บริษัทญี่ปุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไบโอมีเทน

  • Toyota พัฒนาเครื่องยนต์สำหรับรถโดยสารที่ใช้ไบโอมีเทนควบคู่กับระบบไฮบริด ในโครงการ Zero Emission Public Transit
  • Isuzu เปิดตัวรถบรรทุกต้นแบบที่ใช้ก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบขนส่ง
  • Kubota วิจัยเครื่องยนต์การเกษตรที่ใช้ไบโอมีเทนจากมูลสัตว์ในฟาร์ม สร้างระบบพลังงานหมุนเวียนแบบปิดในภาคการเกษตร

ตัวอย่างการใช้งานจริงในญี่ปุ่น

  • จังหวัดฟุกุโอกะ รถเก็บขยะของเทศบาลใช้ก๊าซไบโอมีเทนที่ผลิตจากเศษอาหารในเมือง
  • จังหวัดฮอกไกโด กลุ่มฟาร์มโคนมร่วมกันผลิตชีวมีเทนจากมูลวัวเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในฟาร์มและรถแทรกเตอร์
  • โตเกียว โครงการร่วมระหว่าง Tokyo Gas และมหาวิทยาลัยโตเกียว ใช้เศษอาหารในโรงอาหารผลิตพลังงานสำหรับรถรับส่งนักศึกษา
ไบโอมีเทน

โอกาสและความเป็นไปได้ในการใช้ไบโอมีเทนในประเทศไทย

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาไบโอมีเทน เนื่องจากมีแหล่งวัสดุอินทรีย์จำนวนมาก เช่น ของเสียจากฟาร์มปศุสัตว์ โรงงานแปรรูปอาหาร และน้ำเสียจากชุมชน ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอมีเทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน เช่น แผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ที่สนับสนุนการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพและก๊าซชีวภาพในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม การนำไบโอมีเทนมาใช้จริงในระดับอุตสาหกรรมยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ต้นทุนการผลิตที่ยังสูง ความพร้อมของเทคโนโลยี และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่สมบูรณ์

แม้จะมีข้อท้าทาย แต่ในระยะยาว ไบโอมีเทนสามารถเป็นหนึ่งในคำตอบของประเทศไทยในการลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคพลังงานและขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ หากมีการลงทุนและสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างจริงจัง

อ้างอิง:

ทำไมไบโอมีเทนคืออนาคตของพลังงาน?

ไบโอมีเทนไม่เพียงเป็นพลังงานสะอาด แต่ยังช่วยแก้ปัญหาขยะอินทรีย์ สนับสนุนการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับระบบอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมได้หลากหลาย ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นแล้วว่าไบโอมีเทนสามารถใช้งานได้จริงในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือชุมชนท้องถิ่น และอาจกลายเป็นโมเดลสำคัญสำหรับโลกในยุคหลังคาร์บอน

ไบโอมีเทน
ไบโอมีเทน

Kay Takeaway

ไบโอมีเทนคือพลังงานหมุนเวียนที่กำลังถูกผลักดันอย่างจริงจังในญี่ปุ่น โดยอาศัยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เทคโนโลยีการหมักชีวภาพ และการประยุกต์ใช้กับเครื่องยนต์สมัยใหม่ ถือเป็นแนวทางใหม่ของพลังงานสะอาดที่โลกไม่ควรมองข้าม

  • เครื่องยนต์ชีวมีเทนหรือไบโอมีเทน คือทางเลือกพลังงานสะอาดที่ผลิตจากของเสียอินทรีย์
  • ญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการพัฒนาและใช้งานจริง ทั้งในฟาร์ม เมือง และภาคอุตสาหกรรม
  • ไบโอมีเทนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
  • เทคโนโลยีนี้เริ่มมีการทดลองใช้ในประเทศไทย แต่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น
  • หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาไบโอมีเทนเชิงพาณิชย์ในอนาคต

Credit Images : https://www.freepik.com

CASE STUDY : โครงการระดับโลก ป้องกัน ฝุ่น PM2.5 ที่เราต้องเรียนรู้

ฝุ่น PM2.5

ฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ถึง 25 เท่า ทำให้ขนจมูกไม่สามารถกรองได้ ทำให้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินหายใจสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย ผลกระทบต่อสุขภาพของ PM2.5 นั้นมีความรุนแรง เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

ปัญหาของเจ้าฝุ่นพิษนี้ เป็นปัญหาสาธารณสุขที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม โครงการและมาตรการต่าง ๆ ที่นานาประเทศได้นำมาใช้ในการรับมือและป้องกัน ฝุ่น PM2.5 นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษา เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศอื่น ๆ ที่อาจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อลดมลพิษทางอากาศและปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน รวมถึงต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีฟอกอากาศ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว พลังงานสะอาด และการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ และต่อไปนี้คือ สองประเทศที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาโครงการเพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 ควรค่าแก่การนำมาศึกษา

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

ประเทศจีน กับการป้องกัน ฝุ่น PM2.5

ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศรุนแรงที่สุดในโลก โดยเฉพาะ ฝุ่น PM2.5 ที่มาจากภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และการเผาไหม้เชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลจีนได้ดำเนินโครงการและมาตรการหลายอย่างในการลดฝุ่นพิษอย่างจริงจัง

ประเทศจีนให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง และได้กำหนดมาตรการต่าง ๆ รวมถึงโครงการสำคัญมากมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

ควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ

  • การจำกัดการใช้รถยนต์ ภาครัฐได้มีการออกมาตรการที่เข้มงวด หลายเมืองใหญ่ของจีน เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ได้จำกัดจำนวนรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พลังงานสะอาดอื่น ๆ รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่สะอาด และปลอดภัย มีการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อช่วยลดการปล่อยฝุ่นออกสู่บรรยากาศ
  • การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลจีนได้สั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษสูง และกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดสำหรับโรงงานที่ยังเปิดดำเนินการอยู่
  • การจัดการปัญหาการเผาในที่โล่ง รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายห้ามการเผาในที่โล่ง และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการขยะและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ส่งเสริมพลังงานสะอาด

  • การลงทุนในพลังงานทดแทน รัฐบาลจีนได้ลงทุนอย่างมากในพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลจีนได้ให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่โรงงานที่ใช้พลังงานสะอาด

พัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศ

  • การติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ รัฐบาลจีนได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วประเทศ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพอากาศให้ประชาชนได้รับทราบ
  • การพัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศที่มีความแม่นยำ นักวิทยาศาสตร์จีนได้พัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพยากรณ์คุณภาพอากาศล่วงหน้า ทำให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ได้

สร้างความตระหนักและความเข้าใจ

  • การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของฝุ่น PM2.5 และวิธีการป้องกันตนเองผ่านสื่อต่าง ๆ
  • การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เช่น การลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และการปลูกต้นไม้
  • ลงทุนในแคมเปญการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการป้องกัน ฝุ่น PM2.5 เช่น การใช้หน้ากากอนามัยในวันที่มีค่าฝุ่นสูง

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน จีนได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

ตัวอย่างโครงการที่สำคัญ

โครงการ Blue Sky Protection Plan (แผนปกป้องท้องฟ้าสีคราม)

โครงการ “Blue Sky” เป็นโครงการที่รัฐบาลจีนริเริ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีเป้าหมายในการลดมลพิษทางอากาศอย่างเป็นระบบ โดยโครงการนี้ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อ..

  1. จำกัดการใช้ถ่านหิน และเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน
  2. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีกรองฝุ่นและกำหนดมาตรฐานเข้มงวดขึ้น
  3. ส่งเสริมการใช้พาหนะพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการขยายโครงข่ายขนส่งสาธารณะ
  4. เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

ซึ่งมีโครงการย่อยหรือ side-project ที่สำคัญในการทำให้บรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้

โครงการด้านเทคโนโลยี AI และ Big Data ตรวจจับมลพิษ

จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ PM2.5 แบบเรียลไทม์ มาตรการสำคัญ ได้แก่..

  • ติดตั้งเซ็นเซอร์คุณภาพอากาศทั่วประเทศ เพื่อตรวจจับฝุ่น PM2.5 และแจ้งเตือนประชาชน
  • ใช้ AI คาดการณ์แนวโน้มมลพิษ และวิเคราะห์แหล่งที่มาของฝุ่น เพื่อออกมาตรการควบคุมล่วงหน้า
  • ระบบควบคุมการจราจรอัจฉริยะ เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ

โครงการสร้าง “หอคอยฟอกอากาศ” ขนาดใหญ่

จีนได้พัฒนา หอคอยฟอกอากาศขนาดใหญ่ (Smog Tower) ในเมืองซีอาน ซึ่งเป็นโครงการทดลองที่ใช้เทคโนโลยีดูดซับฝุ่น PM2.5 และปล่อยอากาศบริสุทธิ์กลับสู่ชั้นบรรยากาศ หอคอยนี้สูงประมาณ 60 เมตร และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มีประสิทธิภาพสูงที่สามารถลดระดับ PM2.5 ได้มากถึง 15% ในบริเวณโดยรอบ และมีแผนขยายโครงการไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้

โครงการควบคุมการเผาในที่โล่งและมลพิษจากภาคเกษตร

หนึ่งในสาเหตุหลักของ ฝุ่น PM2.5 ในจีนมาจาก การเผาพืชไร่และฟางข้าว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท รัฐบาลจีนได้ดำเนินมาตรการเข้มงวด 3 มาตรการสำคัญคือ..

  1. ห้ามเผาในที่โล่ง และกำหนดค่าปรับสูงสำหรับผู้ฝ่าฝืน
  2. ส่งเสริมเทคโนโลยีทางเลือก เช่น การนำฟางข้าวไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ
  3. ใช้โดรนและดาวเทียม เพื่อตรวจจับจุดเผาไหม้และดำเนินมาตรการควบคุมอย่างทันท่วงที

โครงการปลูกต้นไม้เพื่อลดมลพิษและขยายพื้นที่ป่า

จีนเป็นประเทศที่มีการปลูกป่ามากที่สุดในโลก เพื่อช่วยดูดซับมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5

  • โครงการย่อย “Great Green Wall” ซึ่งเป็นการปลูกป่าในพื้นที่ทะเลทรายโกบีเพื่อลดพายุฝุ่นและมลพิษ
  • ขยายพื้นที่สีเขียวในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว
  • การใช้ “ป่าดาดฟ้า” บนอาคารสูง เพื่อช่วยฟอกอากาศในเขตเมือง

ความพยายามของจีนในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ส่งผลให้คุณภาพอากาศในหลายเมืองใหญ่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังคงเป็นความท้าทายที่จีนต้องเผชิญต่อไป จีนได้ดำเนินมาตรการป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างเป็นระบบ โดยใช้ทั้ง นโยบายรัฐ เทคโนโลยี AI การฟอกอากาศ และการปลูกป่า ส่งผลให้คุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการและโครงการเหล่านี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้ เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นในระยะยาว

บิ๊กยุโรป เยอรมนี กับโครงการในการป้องกัน ฝุ่น PM2.5

แน่นอนครับ ประเทศเยอรมนีมีโครงการและมาตรการหลายอย่างที่มุ่งเน้นการป้องกันและลดปัญหา ฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่กว้างขึ้นในการจัดการมลพิษทางอากาศ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

รู้ไหมครับว่า.. เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาหลักในเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรม รัฐบาลเยอรมันได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อ ลดและป้องกัน PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

การควบคุมการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ

เยอรมนีมีมาตรฐานที่เข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของฝุ่น PM2.5 และแน่นอนว่ามีการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่น ๆ เพื่อลดการปล่อยมลพิษ ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลประกาศให้มีการกำหนดเขต Low Emission Zones ในหลายเมือง ซึ่งจำกัดการเข้าถึงของรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษสูง

การควบคุมมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม

รัฐบาลออกกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่สะอาดและมีประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งมีการตรวจสอบและติดตามการปล่อยมลพิษอย่างสม่ำเสมอ

การส่งเสริมพลังงานสะอาด

เยอรมนีมีการลงทุนอย่างมากในพลังงานทดแทน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และตั้งเป้าหมายที่จะลดการใช้พลังงานจากถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์ มีการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน

การจัดการปัญหาการเผาในที่โล่ง

กฎหมายห้ามการเผาในที่โล่ง ยกเว้นในบางกรณีที่ได้รับอนุญาต มีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการขยะและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

การพัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศ

ข้อนี้เป็นโครงการที่โดดเด่น เพราะเยอรมนีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญการการพัฒนาระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศที่มีความแม่นยำและสามารถแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที ข้อมูลคุณภาพอากาศจะเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และป้ายเตือนในเมือง

การสร้างความตระหนักและความเข้าใจ

รัฐบาลเยอรมนีให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับประชาชน มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของฝุ่น PM2.5 และวิธีการป้องกันตนเองผ่านสื่อต่างๆ

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

เยอรมนีมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคโนโลยีกับประเทศอื่นๆ ในการจัดการมลพิษทางอากาศ

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

ตัวอย่างโครงการที่สำคัญ

โครงการ Clean Air Programme for Europe

โครงการ “Clean Air Programme” เป็นโครงการที่รัฐบาลเยอรมนีริเริ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งริเริ่มโดยสหภาพยุโรป (EU) เป้าหมายหลักคือการลดมลพิษทางอากาศโดยมีมาตรการสำคัญ เช่น

  • กำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น สำหรับภาคอุตสาหกรรมและยานพาหนะ
  • ควบคุมปริมาณฝุ่น PM2.5 โดยใช้เทคโนโลยีดักจับมลพิษในโรงงาน
  • ส่งเสริมพลังงานสะอาด และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

Low Emission Zones (LEZs) – เขตปลอดมลพิษ

เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่นำแนวคิด “Low Emission Zones (LEZs)” หรือเขตปลอดมลพิษมาใช้ในเมืองใหญ่ เช่น เบอร์ลิน มิวนิก และฮัมบูร์ก

  • ห้ามรถยนต์ดีเซลเก่าที่ปล่อยมลพิษสูงเข้าเขตเมือง เพื่อลดฝุ่น PM2.5
  • ติดตั้งเครื่องตรวจจับมลพิษและระบบกล้องอัจฉริยะ เพื่อควบคุมการเข้าออกของยานพาหนะ
  • สนับสนุนให้ประชาชนใช้ขนส่งสาธารณะและจักรยาน แทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว

โครงการ Green City Plan – เมืองสีเขียวเพื่อลด PM2.5

รัฐบาลเยอรมันได้พัฒนา “Green City Plan” ในหลายเมืองเพื่อปรับโครงสร้างเมืองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษทางอากาศ และลดฝุ่นพิษ PM2.5

  • เพิ่มพื้นที่สีเขียวและป่าในเมือง เพื่อช่วยดูดซับมลพิษ
  • ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในพื้นที่สาธารณะ เช่น สถานีขนส่งและถนนสายหลัก
  • พัฒนาทางเดินเท้าและเลนจักรยาน เพื่อลดการใช้รถยนต์

การสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขนส่งสาธารณะ

เยอรมนีเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และมีโครงการส่งเสริมการใช้ รถยนต์พลังงานสะอาด เพื่อลดฝุ่น PM2.5

  • สนับสนุนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมอบเงินอุดหนุนให้ประชาชนที่เปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาด
  • เพิ่มสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน
  • พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟพลังงานไฮโดรเจนและรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า

มาตรการควบคุมมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม

เยอรมนีมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ที่สำคัญ รัฐบาลได้กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมมลพิษ เช่น

  • บังคับใช้เทคโนโลยีดักจับฝุ่นและมลพิษในโรงงาน
  • กำหนดเพดานการปล่อยมลพิษ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
  • ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการใช้ถ่านหินและน้ำมันดีเซล

โครงการป่าไม้ในเมือง – Urban Forest Initiative

โครงการนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองใหญ่ของเยอรมนี เช่น ฮัมบูร์กและแฟรงก์เฟิร์ต

  • ปลูกต้นไม้และป่าเมือง เพื่อลดมลพิษและเพิ่มออกซิเจน
  • พัฒนา “หลังคาสีเขียว” และสวนแนวตั้ง บนอาคารสูงเพื่อช่วยฟอกอากาศ
  • ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ และดูแลพื้นที่สีเขียว

เยอรมนีเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่มีแนวทาง ป้องกัน ฝุ่น PM2.5 อย่างครอบคลุม โดยใช้ เทคโนโลยี นโยบายสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงโครงสร้างเมือง โครงการเหล่านี้ช่วยให้คุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่น ๆ ในการจัดการมลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน

ฝุ่น PM2.5
Designed by Freepik

แนวทางของประเทศไทย ที่ทำได้เพียงแค่ป้องกัน เท่านั้นหรือ ..?

ฝุ่น PM2.5 เป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ณ วันนี้ยังไม่มีโครงการที่ชัดเจนออกมาสำหรับประเทศไทย เราจึงทำได้เพียงแค่การขอความร่วมมือและป้องกัน ลดการสัมผัสฝุ่นพิษ มุ่งให้ความรู้ในภาคประชาชน และขอความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม โรงงาน โรงกลึง จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยทุกคนควรช่วยกันลดมลพิษ และติดตามค่าฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกัน เพื่อรักษาสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง โดยมีแนวทางที่ควรปฏิบัติดังนี้

  1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น เช่น หน้ากาก N95 เมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง
  2. ใช้เครื่องฟอกอากาศ ภายในบ้านหรือที่ทำงานเพื่อลดปริมาณฝุ่น
  3. ติดตามคุณภาพอากาศ ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์รายงานค่าฝุ่น PM2.5
  4. ลดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นสูง
  5. สนับสนุนการลดมลพิษ เช่น ใช้ขนส่งสาธารณะ ลดการเผาไหม้ และปลูกต้นไม้เพิ่ม

Cover designed by Freepik