เทรนด์โลกที่เกี่ยวข้องกับการตระหนักถึงเรื่อง “การรักษาสิ่งแวดล้อม” กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก และมักจะได้ยินบริษัทชั้นนำปล่อยแคมเปญมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ Sustainability หรือที่พากย์ไทยได้ว่า “ความยั่งยืน” โดยที่เราจะมาแชร์วันนี้เป็นเนื้อหาที่มาจาก Forbes สื่อการเงินยักษ์ใหญ่ที่พูดถึงเรื่องนี้ในหลายแง่มุมเอาไว้อย่างน่าสนใจ และน่าจะช่วยยกระดับของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของคุณได้ในระยะยาว
สำหรับผู้นำทางธุรกิจหลาย ๆ คน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ประเด็นหลัก รวมถึงเรื่องของความยั่งยืนอาจเป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและน่ากลัว แต่จริง ๆ นั้นยังมีหลายขั้นตอนที่ปฏิบัติได้จริง แล้วก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด บริษัทต่าง ๆ โรงงาน โรงกลึงทั่วไปสามารถดำเนินการเพื่อจัดการกับความยั่งยืนไปพร้อมกับความก้าวหน้า ซึ่งเป็นย่างก้าวที่น่าสนใจและอาจเป็นเหตุผลที่จะผลักดันให้หลาย ๆ ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้มั่นคงกว่าเดิม
เปลี่ยนคำคาดการณ์ Sustainability ให้เป็นโครงการที่ทำได้จริง
ที่ผ่านมาบริษัทในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้รับมอบหมายจากนักลงทุนและรัฐบาลให้คำนวณผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีเหตุผลที่จะสันนิษฐานว่า “ความยั่งยืน” กำลังกลายเป็นประเด็นหลักในการพิจารณาสำหรับผู้บริโภคตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ เมื่อพวกเขาเลือกผลิตภัณฑ์และคู่ค้า
จากการศึกษาของ CapGemini ความชอบของผู้บริโภคสำหรับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่ยั่งยืนนั้นแข็งแกร่ง ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 64% กล่าวว่าการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุข มี 79% กำลังเปลี่ยนความต้องการซื้อโดยคำนึกถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยผู้บริโภค 8 ใน 10 กำลังตัดสินใจเลือกซื้อโดยคำนึงถึงความยั่งยืน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดนี้นั้นตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
จากตัวเลขสู่จุดเริ่มต้นที่เป็นไปได้
เปอร์เซนต์ของข้อมูลดังกล่าว ได้เปลี่ยนถ้อยคำซ้ำซากจำเจที่ว่า “เราทุกคนมีพลังที่จะสร้างความแตกต่าง” ให้เป็นความพยายามร่วมกันของกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกที่ยั่งยืนมากขึ้น
สิ่งที่เห็นชัดคือบริษัทต่าง ๆ มีบทบาทร่วมกัน และจุดเริ่มต้นที่ดีเป็นการนำกรอบความคิดทั่วทั้งบริษัทมาใช้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาได้อย่างไร แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถเกิดผลได้หากมีการร่วมมือกันและทำมันอย่างสม่ำเสมอ มีข้อมูลล่าสุดว่าการดำเนินโครงการริเริ่มเกี่ยวกับความยั่งยืนทำให้บริษัทต่าง ๆ นั้นลดการปล่อยมลพิษตามข้อตกลงของ Paris Climate Accord ถึง 60%
3 กลยุทธ์ Sustainability “การรักษาสิ่งแวดล้อม” ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม
ข้อมูลที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น หากคุณอยากดำเนินตามแนวทางที่จะช่วยให้ธุรกิจเข้าสู่ความยั่งยืนและเคร่งครัดต่อ การรักษาสิ่งแวดล้อม มากยิ่งขึ้น โครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรปรับปรุง พัฒนา และจากบรรทัดนี้ต่อไปเป็นกลยุทธ์ที่ Forbes มองว่าเป็นสิ่งเริ่มต้นที่จำเป็น
มุ่งมั่นสู่การทำงานจากระยะไกล (Remote Work)
นี่คือยุคสมัยแห่ง “Remote Work” แม้จะยังเป็นสิ่งที่ผู้นำทางธุรกิจไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ความต้องการจากพนักงานนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนงานทางไกลที่ลงโฆษณาในสหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 14% ในเดือนกันยายน เทียบกับ 1 ใน 5 ของงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 มีรายงานว่าผู้สมัครเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 52% ในเดือนดังกล่าว เรียกว่าโอกาสการจ้างงานแบบ Remote Work ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องหากยึดตามสถิติตัวเลขนี้
ต้องบอกว่าความต้องการของพนักงานเป็นตัวกระตุ้นที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจในการพิจารณาการทำงานแบบรีโมทเวิร์ค โดยเฉพาะหากพูดถึงเรื่องความยั่งยืนของสังคมบนพื้นฐานสภาพแวดล้อม การทำงานลักษณะนี้ส่งผลดีต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทด้วยการลดใช้พลังงานและของเสียให้เหลือน้อยที่สุด
ยิ่งตัวเลขของสถิติเร็ว ๆ นี้พบว่าการทำงานแบบรีโมทเวิร์คเป็นเวลาสี่วันต่อสัปดาห์สามารถลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ได้ 10% รวมถึงการปล่อยก๊าซส่วนตัวต่อบุคคุลได้ถึง 80% นอกจากนี้ แบบจำลองสถานที่ทำงานเสมือนจริงยังสามารถปรับปรุงสภาพการจราจรท้องถิ่นโดยลดการเดินทาง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาว่าการขนส่งเป้นแหล่งกำเนิดมลพิษคาร์บอนอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ยกระดับความตั้งใจ ลดการเดินทางเพื่อธุรกิจ
การเดินทางทางอากาศคิดเป็น 2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก การเดินทางเพื่อธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกบริษัทนั้นล้วนมีบทบาทในปัญหานี้
นับแค่ในปี 2019 แค่บริษัท Saleforce เพียงอย่างเดียวก็สร้าง CO2 มากถึง 146,000 เมตริกตัน แต่เมื่อมีกระแสเรื่องของการจัดการเกี่ยวกับ Sustainability ตัวเลขนี้ลดลงถึง 86% แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่สำคัญต่อแนวทางเรื่องการเดินทางเพื่อธุรกิจ เพียงแค่รอบคอบมากขึ้นก็สร้างประโยชน์เพิ่มได้แล้ว เป็นเรื่องที่ผู้นำของธุรกิจต้องแสดงถึงความตั้งใจและใช้กับเรื่องที่จำเป็นจริง ๆ
สร้างสถานะ “ดิจิทัล” ที่ยั่งยืน
แท็กของบุคคลที่สามบนเว็บไซต์ (Third-Party) นั้นให้ข้อมูลและบริการที่มีค่าสำหรับทั้งธุรกิจและลูกค้าของคุณ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เว็บไซต์ของคุณนั้นทำให้คอมพิวเตอร์ของพวกเขานั้นทำงานหนัก… ถึงเวลาที่ต้องปรับแล้ว!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับอินเทอร์เนตที่เราใช้นั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกถึง 3.7% การจัดการแท็กที่ซ้ำกัน การประเมินและจำกัดแอพพลิเคชั่นเธิร์ดปาร์ตี้ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดภาระ รวมถึงการออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้ยูสเซอร์ “ใช้งานง่าย” (User Friendly) วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคได้อย่างมาก และยังเป็นการช่วยลดดิจิทัลฟุตปรินท์ของบริษัทคุณ โดยทาง Forbes แนะนำเครื่องมือฟรีอย่าง taginspector.com เป็นสเตปแรกหากคุณอยากเริ่มต้นศึกษาเรื่องนี้
นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพบนเว็บไซต์ บริษัทต่าง ๆ ยังสามารถปลี่ยนการใช้จ่ายค่าโฆษณาโดยการจัดลำดับความสำคัญเพื่อก้าวสู่กระบวนการนี้ได้ จากการศึกษาในปี 2018 พบว่าโฆษณาออนไลน์คิดเป็น 10% ของการใช้พลังงานอินเทอร์เนต หากต้องการเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ต้องใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม การมุ่งเน้นเพื่อลดดิจิทัลฟุตปรินท์เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมในการสนับสนุนกระบวนการนี้
Key Takeaway
สุดท้ายแล้ว 3 คีย์หลักของแนวคิดจะสมบูรณ์แบบได้ต้องมีครบทุกอย่างทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้นำธุรกิจ Sustainability อาจยังฟังดูน่ากลัว ดูน่าสับสน และอาจถูกมองว่านี่เป็นการหลุดจากเป้าหมายหลักของบริษัทในแง่ของผลกำไร แต่หากพูดถึงการจัดการเรื่องความยั่งยืนของธุรกิจอย่างชาญฉลาดก็ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังมาและเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ต่อธุรกิจในระยะยาว ซึ่งกลยุทธ์ที่ฟอร์บส์ได้นำมาบอกเล่าวันนี้ก็น่าจะช่วยยกระดับธุรกิจคุณสู่สิ่งนี้ได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
Cover Image : Image by Freepik
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :