ในวงการอุตสาหกรรมทุกวันนี้ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ หากบอกว่า.. เทสลาเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างครอบคลุมที่สุด และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ที่มาพร้อมกับความแม่นยำในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ผลผลิตอันแสนวิเศษเหล่านั้น คลอดออกมาอย่างตั้งใจจาก โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Gigafactory วันนี้เราจะมาดูกันว่าโรงงานระดับโลกที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน มีแนวคิดและให้ความสำคัญกับอะไร รวมไปถึง AI ที่เทสลาใช้จนจบกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งรถ 1 คัน มีบทบาทสำคัญในขั้นตอนอะไรบ้าง ..ไปดูกัน
AI หุ่นยนต์อุตสาหกรรม ตัวเอกของกระบวนการ
เทสลาได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต เพื่อสร้างโรงงานอัจฉริยะที่สามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เทคโนโลยี AI เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เทสลาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่นๆ แน่นอน.. รวมถึงโรงกลึงพี-วัฒน์ของเรา มรากำลังเฝ้าติดตามข่าวสารโรงงานอุตสาหกรรมอัจฉริยะอยู่เรื่อยๆ เพื่อเตรียมรับมือในอนาคต และแนวทางในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมของเราอีกด้วย
หุ่นยนต์ที่ควบคุมด้วย AI เหล่านี้ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยใช้ AI ในการวางแผนการเคลื่อนไหว การควบคุมแรง และการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำยิ่งเหนือชั้นขึ้นไปอีก คือหุ่นยนต์สามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ได้โดยการสังเกตการทำงานของมนุษย์ ทำให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น
หุ่นยนต์ที่ควบคุมด้วย AI ใน Gigafactory ทำอะไรบ้าง ?
การวางแผนการผลิต
AI ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เช่น ยอดขาย ประวัติการสั่งซื้อ และปัจจัยภายนอก เพื่อทำนายความต้องการของตลาด และวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการ และช่วยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การลดเวลาในการผลิต การลดปริมาณวัสดุสิ้นเปลือง และการลดต้นทุนการผลิต
การประกอบแบตเตอรี่
หุ่นยนต์ที่ควบคุมด้วย AI ทำการประกอบเซลล์แบตเตอรี่เป็นโมดูล และประกอบโมดูลเข้าด้วยกันเป็นแพ็คแบตเตอรี่
การทดสอบสมรรถนะของแบตเตอรี่
ระบบวิสัยทัศน์ด้วยคอมพิวเตอร์ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบตเตอรี่ และวัดประสิทธิภาพการทำงาน
การควบคุมหุ่นยนต์ในการพ่นสี
หุ่นยนต์ใช้ AI ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนกลเพื่อพ่นสีรถยนต์ได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ
การตรวจสอบคุณภาพ
การตรวจสอบคุณภาพผ่านระบบวิสัยทัศน์ด้วย AI นำมาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ด้วยความแม่นยำสูงและรวดเร็วกว่าการตรวจสอบด้วยสายตาของมนุษย์ ระบบนี้ยังสามารถตรวจจับข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดในการผลิตได้อย่างรวดเร็ว และส่งสัญญาณเตือนให้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
การบำรุงรักษา
AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ เพื่อ “คาดการณ์” ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องจักร และส่งสัญญาณเตือนให้ช่างสามารถวางแผนการบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสม และเข้าไปแก้ไขได้ก่อนที่ปัญหาจะรุนแรงขึ้น
การเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องจักร: การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ช่วยลดความเสี่ยงของการหยุดชะงักในการผลิต และเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องจักร
การโต้ตอบกับมนุษย์
AI สามารถเข้าใจภาษาที่มนุษย์พูดหรือพิมพ์ และตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ทำให้การสื่อสารระหว่างมนุษย์กับระบบอัตโนมัติเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น หุ่นยนต์ที่เราเห็นบ่อยๆ คือ Optimus ซึ่งเทสลาได้พัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ Optimus ที่ใช้ AI ในการควบคุมการเคลื่อนไหว การมองเห็น และการตัดสินใจ หุ่นยนต์เหล่านี้มีศักยภาพในการทำงานร่วมกับมนุษย์ในงานที่หลากหลายภายในโรงงาน
มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต
AI สามารถเรียนรู้จากการกระทำและผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหุ่นยนต์ในการเคลื่อนที่ หรือการปรับพารามิเตอร์ของเครื่องจักรให้เหมาะสมกับงานที่ทำ
การออกแบบผลิตภัณฑ์
AI สามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้นักออกแบบสามารถทดลองและปรับปรุงดีไซน์ได้อย่างง่ายดาย
การสร้างสรรค์เนื้อหา
AI สามารถสร้างภาพ สร้างวิดีโอ หรือสร้างข้อความเพื่อใช้ในการสื่อสารและการตลาดได้
เห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่เทสลาได้รับจากการนำ AI มาใช้ คือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และลดระยะเวลาในการผลิต เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มีความสม่ำเสมอและมีคุณภาพสูงขึ้น และมีความยืดหยุ่นในการผลิตสูง สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลง และแน่นอนคือด้านความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานของมนุษย์
เทสลาให้ความสำคัญกับอะไร ?
เรารู้กันดีว่า Gigafactory ขอเทสลา สามารถผลิตยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ทันสมัยมาใช้หลายอย่างตามที่กล่าวไปเเล้ว นอกจากนี้ Gigafactory ยังรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลจากกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของชิ้นส่วน ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องจักร และข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของหุ่นยนต์ ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์โดย AI เพื่อหารูปแบบและแนวโน้มต่างๆ ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เทสลาใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ AI ที่ช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้จากข้อมูลได้ด้วยตนเอง ที่สำคัญมีการลงทุนด้าน R&D อยู่ตลอดเวลา เทสลาลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนาระบบ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเรียนรู้ของเครื่องจักรและวิสัยทัศน์คอมพิวเตอร์
สุดท้ายการลงทุนกับคนก็เป็นเรื่องที่องค์กรสมัยใหม่ยังคงต้องให้ความสำคัญที่สุด แม้ AI จะทำงานบางอย่างแทนคนได้แล้วก็ตาม เทสลารวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรระดับหัวกะทิที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI มาทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนาระบบ AI ให้มีความสามารถสูงสุด
จุดเด่นของ Gigafactory
- การผลิตในปริมาณมาก Gigafactory สามารถผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าได้ในปริมาณมาก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย Gigafactory ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย เช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรม ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- การออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Gigafactory ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานหมุนเวียน และมีการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ
- Gigafactory ของ Tesla มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานสะอาด และเป็นตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
- การพัฒนา AI ใน Gigafactory มีผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ โดยมีทั้งผลกระทบในแง่บวกและแง่ลบ ดังนี้
อัจฉริยะแค่ไหน แค่เหรียญย่อมมีสองด้าน
แน่นอนว่าความล้ำสมัยสุดขั้วของ โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Gigafactory ของเทสลาย้อมต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และผลกระทบที่เกิดกับสภาพแวดล้อม อย่างที่คำพูดคุ้นหูจากยุคสมัยของการตื่นรู้ในอดีต ที่กล่าวว่า “การเกิดขึ้นของนวัตกรรมใหม่ๆ ต้องแลกมาด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่”
ผลกระทบในแง่ลบ
- การลดจำนวนพนักงาน: เนื่องจาก AI เข้ามาแทนที่งานที่ซ้ำซากและอันตราย ทำให้จำนวนพนักงานในสายการผลิตอาจลดลงได้
- การเปลี่ยนแปลงทักษะที่ต้องการ: พนักงานจะต้องมีทักษะที่สูงขึ้นในการทำงานร่วมกับ AI เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล และการแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจทำให้พนักงานบางส่วนต้องปรับตัวหรือฝึกอบรมเพิ่มเติม
ผลกระทบในแง่บวก
- การสร้างงานใหม่: การพัฒนา AI จะสร้างงานใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI การบำรุงรักษาระบบ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: AI ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องทำงานที่ซ้ำซากจำเจ ทำให้พนักงานมีเวลาในการทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น
- การปรับปรุงสภาพการทำงาน: AI ช่วยลดงานที่เสี่ยงอันตราย ทำให้สภาพการทำงานของพนักงานปลอดภัยมากขึ้น
แม้การพัฒนา AI ใน Gigafactory จะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของงานที่ถูกแทนที่ ความเร็วในการพัฒนา AI และนโยบายของรัฐบาลในการรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
Credits : https://www.tesla.com